[1]
[2]
เคยมั้ย เมื่อคุณคิดถึง ใครบางคน คุณรู้สึกทรมาน เพราะคุณคิดไปว่าเขาคนนั้น อาจจะไม่ได้คิดถึงคุณอยู่
ถึงแม้ว่าการได้คิดถึงใครสักคนนั้น จะเป็นทุกข์บ้าง แต่ก็ชุ่มชื่นหัวใจ ทำให้คุณต้องมานั่งคิดกระวนกระวายว่าคุณมีความหมายสำหรับเขาบ้างหรือป่าวนะ เขาจะแคร์คุณบ้างมั้ยนะ
คุณจะรีบรับโทรศัพท์ทันที เพราะคิดว่าอาจเป็นเค้าคนนั้น
คุณมองไปนอกหน้าต่าง เพราะคิดว่าเขาอาจจะปรากฏตัวอยู่ที่นั่น
คุณนั่งอยู่หน้าทีวี แต่จิตใจกลับคิดถึงเขาคนนั้น จนทำให้พลาดตอนอวสานของละครเรื่องโปรด
คุณเอนกายนอนบนเตียง ก็พลันคิดถึงช่วงเวลาที่ไปไหนต่อไหนด้วยกันคุณคิดถึงแต่ว่า เราคงจะไม่ได้มานั่งมองดูดาวด้วยกันอีก คุยกันทุกเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นความฝัน หรืออนาคต
คุณออนไลน์อินเตอร์เน็ตเพื่อหวังจะได้พบเขาและก็เริ่มวิตกกังวลว่าเขาจะเป็นอะไรไปหรือป่าว เมื่อเขาไม่ได้ออนไลน์หรือตอบกลับมา
คุณเฝ้ามองดูมือถือ เพราะเขานั้นอาจจะส่ง sms ข้อความน่ารักๆ กลับมา
การได้คิดถึงใครบางคน เป็นหนทางหนึ่งที่ช่วยให้คุณเติบโต
และได้สมผัสกับความเปลี่ยนเหงามันสอนให้คุณเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกับความอ้างว้างและทำให้คุณรู้จักอีกความรู้สึกหนึ่ง นั่นคือ ความว่างเปล่า บางครั้งมันก็รู้สึกดีนะ ที่ได้คิดถึงใครสักคนเพราะมันทำให้คุณใส่ใจใครคนนั้น และคุณปล่อยใจที่จะสัมผัสความรู้สึกใส่ใจที่มีเขาแต่ในขณะเดียวกันการที่คิดถึงใครคนนั้นโดยที่เราไม่รู้ว่าเขารู้สึกเหมือนเราหรือป่าว ช่างเป็นความรู้สึกที่ทรมานเหลือเกิน และคุณกลับรู้สึกว่า คุณถูกทิ้งไว้เพียงลำพัง
ดังนั้นหากคุณคิดถึงใคร จงบอกให้เขาได้รับรู้บ้างและเช่นเดียวกัน ถามเขาสิว่าเขารู้สึกอย่างเดียวกันหรือป่าว
อย่าปล่อยให้ความรู้สึกคิดถึงเปลี่ยนแปรเป็นความอิจฉา หรือความหวาดระแวง
หากใครคิดถึงคุณและคุณรับรู้ จงบอกเขาเถิดว่าคุณรับทราบแล้วหากคุณคิดถึงเขาตอบก็จงบอกเขาเช่นนั้น
ถึงแม้ว่าการได้คิดถึงใครสักคนนั้น จะเป็นทุกข์บ้าง แต่ก็ชุ่มชื่นหัวใจ ทำให้คุณต้องมานั่งคิดกระวนกระวายว่าคุณมีความหมายสำหรับเขาบ้างหรือป่าวนะ เขาจะแคร์คุณบ้างมั้ยนะ
คุณจะรีบรับโทรศัพท์ทันที เพราะคิดว่าอาจเป็นเค้าคนนั้น
คุณมองไปนอกหน้าต่าง เพราะคิดว่าเขาอาจจะปรากฏตัวอยู่ที่นั่น
คุณนั่งอยู่หน้าทีวี แต่จิตใจกลับคิดถึงเขาคนนั้น จนทำให้พลาดตอนอวสานของละครเรื่องโปรด
คุณเอนกายนอนบนเตียง ก็พลันคิดถึงช่วงเวลาที่ไปไหนต่อไหนด้วยกันคุณคิดถึงแต่ว่า เราคงจะไม่ได้มานั่งมองดูดาวด้วยกันอีก คุยกันทุกเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นความฝัน หรืออนาคต
คุณออนไลน์อินเตอร์เน็ตเพื่อหวังจะได้พบเขาและก็เริ่มวิตกกังวลว่าเขาจะเป็นอะไรไปหรือป่าว เมื่อเขาไม่ได้ออนไลน์หรือตอบกลับมา
คุณเฝ้ามองดูมือถือ เพราะเขานั้นอาจจะส่ง sms ข้อความน่ารักๆ กลับมา
การได้คิดถึงใครบางคน เป็นหนทางหนึ่งที่ช่วยให้คุณเติบโต
และได้สมผัสกับความเปลี่ยนเหงามันสอนให้คุณเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกับความอ้างว้างและทำให้คุณรู้จักอีกความรู้สึกหนึ่ง นั่นคือ ความว่างเปล่า บางครั้งมันก็รู้สึกดีนะ ที่ได้คิดถึงใครสักคนเพราะมันทำให้คุณใส่ใจใครคนนั้น และคุณปล่อยใจที่จะสัมผัสความรู้สึกใส่ใจที่มีเขาแต่ในขณะเดียวกันการที่คิดถึงใครคนนั้นโดยที่เราไม่รู้ว่าเขารู้สึกเหมือนเราหรือป่าว ช่างเป็นความรู้สึกที่ทรมานเหลือเกิน และคุณกลับรู้สึกว่า คุณถูกทิ้งไว้เพียงลำพัง
ดังนั้นหากคุณคิดถึงใคร จงบอกให้เขาได้รับรู้บ้างและเช่นเดียวกัน ถามเขาสิว่าเขารู้สึกอย่างเดียวกันหรือป่าว
อย่าปล่อยให้ความรู้สึกคิดถึงเปลี่ยนแปรเป็นความอิจฉา หรือความหวาดระแวง
หากใครคิดถึงคุณและคุณรับรู้ จงบอกเขาเถิดว่าคุณรับทราบแล้วหากคุณคิดถึงเขาตอบก็จงบอกเขาเช่นนั้น
PR
วันนี้.....คุณมีคนที่คิดถึงแล้วหรือยัง ?
เคยคิด...เคยรู้สึกไหม ว่าตอนที่กำลังคิดถึงใครสักคนหนึ่ง แล้วเขาจะคิดถึงเรากลับมาบ้างหรือเปล่า และ ความคิดถึงที่เรากำลังมีอยู่ตอนนี้ มันจะส่งไปถึงเขาคนนั้นบ้างไหม
เรื่องแบบนี้ บางทีมันก็ไม่สามารถบอกออกมาเป็นคำพูดได้เหมือนกัน เพราะความคิดถึงมันเป็น “ความรู้สึก” ความรู้สึกบางครั้งไม่สามารถที่จะรับรู้ หรือบอกกล่าว ได้ด้วย วาจา หรือคำพูดใดๆ อย่างเช่น ความรู้สึก คิดถึง ต้องรับรู้กันด้วยใจ
การคิดถึงใครสักคน แล้วไม่สามารถระบาย ไม่สามารถที่จะปลดปล่อยความคิดถึงนั้นได้ มันเป็นความคิดถึงที่ทรมานที่สุด โทรคุยก็ไม่ได้ โทรไปก็ไม่รับ โทรศัพท์ไม่ค่อยเปิด
แถม MSN ก็ยังไม่ออนไลน์ ถ้าบุคคลใดเจอสถานการณ์อย่างนี้เข้าไป อาจจะเป็นโรคชนิดหนึ่ง โรคนี้เกิดจากการคิดถึงใครคนหนึ่งมากเกินไปจนระบายความคิดถึงไม่ทัน
โรคนี้มีชื่อว่า “โรคคิดถึงขึ้นสมอง” อาการของโลกนี้มีหลายๆอย่างแล้วแต่ว่า คนที่เป็นโรคนี้เกิดจากอาการคิดถึงมาก คิดถึงน้อยแค่ไหน คนที่คิดถึงน้อยๆ พอประมาณ ก็อาจจะมีแค่อาการเพ้อเล็กน้อย บ่นกับตัวเองว่าคิดถึงเขา สักคำสองคำอาการคิดถึงก็หายไป
คนที่เป็นมากๆ หน่อยก็อาจจะมีอาการ เหม่อลอย แอบยิ้มเองคนเดียว เรียกชื่อคนอื่น ผิดๆ ถูกๆ เป็นชื่อคนที่คิดถึง หรือ อาการแปลกอื่นๆที่มีไม่เคยมีมาก่อนอีกหลายอาการแล้วแต่ สถานการณ์จะพาไป แต่ถ้าหากคิดถึงมากสุดๆ ( สุดๆของหัวใจ ) แล้วคนที่เราคิดถึง ไม่คิดถึงตอบกลับมาล่ะก็ บุคคลนั้นจะเข้าสู่ภาวะของโรค ขั้นร้ายแรงที่สุด
หรือ อาจจะเรียกได้ว่าเป็น ”โรคคิดถึงขึ้นสมองระยะสุดท้าย” ผู้ที่เป็นโรคนี้ระยะสุดท้าย
จะมีอาการ เหม่อลอย น้อยใจ ไข้จับ รับรู้ได้ช้า เหน็บชาที่หัวใจ พูดอะไรไม่ออก จะบอกใครก็ไม่ได้ และใจสลายในที่สุด....
*วิธีป้องกันโรค*..... วิธีป้องกันก็มีอยู่หลายวิธี ที่ง่ายๆเลยก็คือหาคนที่ต้องการคิดถึงให้อยู่ใกล้ๆกับตัวเรา เจอกันได้ง่ายๆ ติดต่อง่ายๆ พอเราคิดถึงก็ได้เจอได้คุยโดยไม่ต้องรอนานเกินไป ..... แต่สำหรับคนที่มีอยู่แล้ว แต่ไกลกัน ไม่ต้องหาใหม่เพราะต้องการให้คิดถึงได้ง่ายๆ เหมือนกรณีแรกนะ มีวิธีเหมือนกัน
ถ้าเราอยู่ห่างกัน ก็แค่เพียงให้คิดถึงทีละน้อยๆ แต่บ่อยครั้ง อย่าได้ขาด เช่น ครั้งนี้คิดถึง นิดนึง แต่มากพอที่จะให้ ความคิดถึงไปหยุดตรงกลาง ระยะทางของทั้งสองคนได้ จากนั้นการคิดถึงครั้งที่สอง ให้คิดถึงมากกว่าครั้งแรก นิดนึง เพื่อให้ความคิดถึงครั้งที่สองนั้นมีแรงที่จะไปผลักความคิดถึงที่มีอยู่ก่อนแล้วก้อนนึงให้ไปถึงคนที่เราคิดถึง และครั้งที่ สาม ที่ สี่ และครั้งต่อๆ ไป ต้องเพิ่มความคิดถึงให้มากขึ้นเรื่อยๆ เพราะถ้าคิดถึงน้อยกว่า หรือพอๆ กันกับครั้งก่อนหน้านี้ จะทำให้ความคิดถึงไม่มีแรงผลักดันกันไป ความคิดถึงก็จะสะสมไปเรื่อยๆ จนอาจจะทำให้เกิดอาการ ”ช่องทางแห่งความคิดถึงอุดตันได้ “
*ข้อควรระวัง* จงอย่าพยายามเก็บความคิดถึงไว้มากๆ เพื่อจะส่งไปครั้งเดียวทั้งหมด
เพราะแรงส่งของความคิดถึงที่อยู่นานๆ อาจจะเสื่อมคุณภาพลงได้ถ้าใจไม่หนักแน่นพอ
อาจจะทำให้ความคิดถึงส่งไปไม่ถึงผู้รอรับได้
คงจะพอรับรู้กันไปบ้างแล้วนะ เกี่ยวกับอันตรายที่จะเกิดขึ้นจากการมีความคิดถึง
มากเกินไป หรือ การคิดถึงไม่ถูกวิธี .... แต่อย่ากลัวทีจะคิดถึงใครนะ เพราะคนคนนั้น
อาจจะรอความคิดถึงของคุณอยู่ก็ได้ สำหรับคนที่มีใครไว้ให้คิดถึงอยู่แล้วก็จงคิดถึงกันต่อไปให้นานๆ อย่าได้มีวันจางหาย ลบเลือนไป ส่วนคนที่โดนคิดถึงนั้นก็อย่าได้เล่นตัวมากละกัน เพราะคงไดรู้แล้วว่าคนที่คิดถึงเขาทรมาน และ เสียใจมากแค่ไหน
ถ้าหากไม่ได้ความคิดถึงตอบกลับ หากคุณรู้ว่ามีคนคิดถึงคุณอยู่ อย่าได้รอช้าอยู่เลย ช่วยกรุณาแบ่งความคิดถึงที่คุณมีอยู่มากมายนั้น แบ่งมาสักเล็กน้อย แล้วส่งกลับไปหาเขาบ้าง ก่อนที่อะไรๆ มันจะสายไป และก่อนที่จะไม่มีใคร คิดถึงคุณอีกเลย
“ วันนี้.....คุณมีคนที่คิดถึงแล้วหรือยัง “
http://artsmen.net/content/show.php?Category=loveboard&No=3313
เคยคิด...เคยรู้สึกไหม ว่าตอนที่กำลังคิดถึงใครสักคนหนึ่ง แล้วเขาจะคิดถึงเรากลับมาบ้างหรือเปล่า และ ความคิดถึงที่เรากำลังมีอยู่ตอนนี้ มันจะส่งไปถึงเขาคนนั้นบ้างไหม
เรื่องแบบนี้ บางทีมันก็ไม่สามารถบอกออกมาเป็นคำพูดได้เหมือนกัน เพราะความคิดถึงมันเป็น “ความรู้สึก” ความรู้สึกบางครั้งไม่สามารถที่จะรับรู้ หรือบอกกล่าว ได้ด้วย วาจา หรือคำพูดใดๆ อย่างเช่น ความรู้สึก คิดถึง ต้องรับรู้กันด้วยใจ
การคิดถึงใครสักคน แล้วไม่สามารถระบาย ไม่สามารถที่จะปลดปล่อยความคิดถึงนั้นได้ มันเป็นความคิดถึงที่ทรมานที่สุด โทรคุยก็ไม่ได้ โทรไปก็ไม่รับ โทรศัพท์ไม่ค่อยเปิด
แถม MSN ก็ยังไม่ออนไลน์ ถ้าบุคคลใดเจอสถานการณ์อย่างนี้เข้าไป อาจจะเป็นโรคชนิดหนึ่ง โรคนี้เกิดจากการคิดถึงใครคนหนึ่งมากเกินไปจนระบายความคิดถึงไม่ทัน
โรคนี้มีชื่อว่า “โรคคิดถึงขึ้นสมอง” อาการของโลกนี้มีหลายๆอย่างแล้วแต่ว่า คนที่เป็นโรคนี้เกิดจากอาการคิดถึงมาก คิดถึงน้อยแค่ไหน คนที่คิดถึงน้อยๆ พอประมาณ ก็อาจจะมีแค่อาการเพ้อเล็กน้อย บ่นกับตัวเองว่าคิดถึงเขา สักคำสองคำอาการคิดถึงก็หายไป
คนที่เป็นมากๆ หน่อยก็อาจจะมีอาการ เหม่อลอย แอบยิ้มเองคนเดียว เรียกชื่อคนอื่น ผิดๆ ถูกๆ เป็นชื่อคนที่คิดถึง หรือ อาการแปลกอื่นๆที่มีไม่เคยมีมาก่อนอีกหลายอาการแล้วแต่ สถานการณ์จะพาไป แต่ถ้าหากคิดถึงมากสุดๆ ( สุดๆของหัวใจ ) แล้วคนที่เราคิดถึง ไม่คิดถึงตอบกลับมาล่ะก็ บุคคลนั้นจะเข้าสู่ภาวะของโรค ขั้นร้ายแรงที่สุด
หรือ อาจจะเรียกได้ว่าเป็น ”โรคคิดถึงขึ้นสมองระยะสุดท้าย” ผู้ที่เป็นโรคนี้ระยะสุดท้าย
จะมีอาการ เหม่อลอย น้อยใจ ไข้จับ รับรู้ได้ช้า เหน็บชาที่หัวใจ พูดอะไรไม่ออก จะบอกใครก็ไม่ได้ และใจสลายในที่สุด....
*วิธีป้องกันโรค*..... วิธีป้องกันก็มีอยู่หลายวิธี ที่ง่ายๆเลยก็คือหาคนที่ต้องการคิดถึงให้อยู่ใกล้ๆกับตัวเรา เจอกันได้ง่ายๆ ติดต่อง่ายๆ พอเราคิดถึงก็ได้เจอได้คุยโดยไม่ต้องรอนานเกินไป ..... แต่สำหรับคนที่มีอยู่แล้ว แต่ไกลกัน ไม่ต้องหาใหม่เพราะต้องการให้คิดถึงได้ง่ายๆ เหมือนกรณีแรกนะ มีวิธีเหมือนกัน
ถ้าเราอยู่ห่างกัน ก็แค่เพียงให้คิดถึงทีละน้อยๆ แต่บ่อยครั้ง อย่าได้ขาด เช่น ครั้งนี้คิดถึง นิดนึง แต่มากพอที่จะให้ ความคิดถึงไปหยุดตรงกลาง ระยะทางของทั้งสองคนได้ จากนั้นการคิดถึงครั้งที่สอง ให้คิดถึงมากกว่าครั้งแรก นิดนึง เพื่อให้ความคิดถึงครั้งที่สองนั้นมีแรงที่จะไปผลักความคิดถึงที่มีอยู่ก่อนแล้วก้อนนึงให้ไปถึงคนที่เราคิดถึง และครั้งที่ สาม ที่ สี่ และครั้งต่อๆ ไป ต้องเพิ่มความคิดถึงให้มากขึ้นเรื่อยๆ เพราะถ้าคิดถึงน้อยกว่า หรือพอๆ กันกับครั้งก่อนหน้านี้ จะทำให้ความคิดถึงไม่มีแรงผลักดันกันไป ความคิดถึงก็จะสะสมไปเรื่อยๆ จนอาจจะทำให้เกิดอาการ ”ช่องทางแห่งความคิดถึงอุดตันได้ “
*ข้อควรระวัง* จงอย่าพยายามเก็บความคิดถึงไว้มากๆ เพื่อจะส่งไปครั้งเดียวทั้งหมด
เพราะแรงส่งของความคิดถึงที่อยู่นานๆ อาจจะเสื่อมคุณภาพลงได้ถ้าใจไม่หนักแน่นพอ
อาจจะทำให้ความคิดถึงส่งไปไม่ถึงผู้รอรับได้
คงจะพอรับรู้กันไปบ้างแล้วนะ เกี่ยวกับอันตรายที่จะเกิดขึ้นจากการมีความคิดถึง
มากเกินไป หรือ การคิดถึงไม่ถูกวิธี .... แต่อย่ากลัวทีจะคิดถึงใครนะ เพราะคนคนนั้น
อาจจะรอความคิดถึงของคุณอยู่ก็ได้ สำหรับคนที่มีใครไว้ให้คิดถึงอยู่แล้วก็จงคิดถึงกันต่อไปให้นานๆ อย่าได้มีวันจางหาย ลบเลือนไป ส่วนคนที่โดนคิดถึงนั้นก็อย่าได้เล่นตัวมากละกัน เพราะคงไดรู้แล้วว่าคนที่คิดถึงเขาทรมาน และ เสียใจมากแค่ไหน
ถ้าหากไม่ได้ความคิดถึงตอบกลับ หากคุณรู้ว่ามีคนคิดถึงคุณอยู่ อย่าได้รอช้าอยู่เลย ช่วยกรุณาแบ่งความคิดถึงที่คุณมีอยู่มากมายนั้น แบ่งมาสักเล็กน้อย แล้วส่งกลับไปหาเขาบ้าง ก่อนที่อะไรๆ มันจะสายไป และก่อนที่จะไม่มีใคร คิดถึงคุณอีกเลย
“ วันนี้.....คุณมีคนที่คิดถึงแล้วหรือยัง “
http://artsmen.net/content/show.php?Category=loveboard&No=3313
หอบความคิดถึงมาแสนไกล พร้อมด้วยกลิ่นไอแสนละมุน กับหนึ่งคำที่แสนอบอุ่น และน้ำเสียงคุ้นๆบอกว่าคิดถึงจัง
คิดถึงค่ะ คิดถึงจริงๆ ทุกวันนี้เวลาฟังเพลงของโจ้ ก็จะแอยเศร้าเล็กๆ ปนสุขน้อยๆ ที่ได้ฟัง PAUSE
คิดถึงที่สุด
คิดถึงจนทนไม่ไหวแว้ว
คิดถึงจนบ้า
คิดถึงจนแทบบ้า
คิดถึงจนเหนื่อย
คิดถึงจนเหนื่อยล้า
โอ๊ยคิดถึงจนทรมานใจ
คิดถึงจนเจ็บ
คิดถึงจนทุกข์ คิดถึงจนมัวหมอง
คิดถึงจนนอนไม่หลับ
คิดถึงจนมันต้องโทรไปรบกวน
คิดถึงจนอยากโทรไปหา แต่กลัวจะไปรบกวนเวลาของเธอ
คิดถึงจนใจจะขาด คิดถึงจนจะบ้าตาย คิดถึงจนไฟจะดับน้ำจะรั่วอยู่แล้ว คิดถึงยิ่งกว่าฝนตก 3 วันติดกันซะอีก
คิดถึงจนจับใจ แต่ไหงเธอไม่สน ฉันเลยต้องทน
คิดถึงจนวันตาย
คิดถึงจนอยากแกล้ง
คิดถึงค่ะ คิดถึงจริงๆ ทุกวันนี้เวลาฟังเพลงของโจ้ ก็จะแอยเศร้าเล็กๆ ปนสุขน้อยๆ ที่ได้ฟัง PAUSE
คิดถึงที่สุด
คิดถึงจนทนไม่ไหวแว้ว
คิดถึงจนบ้า
คิดถึงจนแทบบ้า
คิดถึงจนเหนื่อย
คิดถึงจนเหนื่อยล้า
โอ๊ยคิดถึงจนทรมานใจ
คิดถึงจนเจ็บ
คิดถึงจนทุกข์ คิดถึงจนมัวหมอง
คิดถึงจนนอนไม่หลับ
คิดถึงจนมันต้องโทรไปรบกวน
คิดถึงจนอยากโทรไปหา แต่กลัวจะไปรบกวนเวลาของเธอ
คิดถึงจนใจจะขาด คิดถึงจนจะบ้าตาย คิดถึงจนไฟจะดับน้ำจะรั่วอยู่แล้ว คิดถึงยิ่งกว่าฝนตก 3 วันติดกันซะอีก
คิดถึงจนจับใจ แต่ไหงเธอไม่สน ฉันเลยต้องทน
คิดถึงจนวันตาย
คิดถึงจนอยากแกล้ง
จำไว้จนวันตาย สองสิ่งที่เราอย่าพยายามรู้
- อย่าไปอยากพิสูจน์อะไรใครเพื่อยืนยันว่าความคิดของตัวเองถูกต้อง
- การพยายามอ่านใจของคนอื่นว่าเค้าคิดอะไรอยู่ลึกๆ
เพราะถ้าเราทำได้มันก็ไม่เกิดผลดีไรเลย ลึกๆในใจมนุษย์มันมี
สิ่งน่ากลัวเยอะเกินไป
- อย่าไปอยากพิสูจน์อะไรใครเพื่อยืนยันว่าความคิดของตัวเองถูกต้อง
- การพยายามอ่านใจของคนอื่นว่าเค้าคิดอะไรอยู่ลึกๆ
เพราะถ้าเราทำได้มันก็ไม่เกิดผลดีไรเลย ลึกๆในใจมนุษย์มันมี
สิ่งน่ากลัวเยอะเกินไป
สำหรับผม ผมคิดว่าไม่เหมาะสม เราควรให้เกียรติซึ่งกันและกัน
ตอนแรกๆ ผมคบกันแฟนผมใช้คำว่า คุณ กับ ผม
ต่อมาใช้ เค้า กับ ตัวเอง (แฟนให้เรียกแบบนี้อะ -*-)
ตอนแรกๆ ผมคบกันแฟนผมใช้คำว่า คุณ กับ ผม
ต่อมาใช้ เค้า กับ ตัวเอง (แฟนให้เรียกแบบนี้อะ -*-)
โรคระบาดอีกชนิดมีชื่อเรียกว่า โรคคิดถึง
โรคนี้จะเกิดกับคนที่อ่อนแอทางจิตใจขั้นรุนแรง
อาการเบื้องต้นของโรคนี้เริ่มจากเชื้อพาหะจะเข้ามาใกล้
สร้างความสนิทสนมกันตามประสาคนรู้จัก
แต่จะส่งผลถึงคลื่นไฟฟ้าในสมอง
ซึ่งจะแปรเปลี่ยนคลื่นความถี่จากความรู้สึกธรรมดาฉันท์เพื่อน พี่ น้อง
ให้เป็นตามที่ใจตนเองต้องการ
ต่อจากนั้น เมื่อเชื้อโรคได้เข้าสู่ร่างกายแล้ว
จะกระจายตัวอย่างรวดเร็วด้วยระยะเวลาอันสั้น
ซึ่งจะแปรตามความสัมพันธ์ที่มีมากหรือน้อยระหว่างผู้รับเชื้อกับผู้แพร่เชื้อ
ยิ่งมีมาก เชื้อก็จะยิ่งแพร่กระจายได้ไกล
โดยที่สภาพอากาศมีส่วนช่วยกระตุ้นให้เชื้อโรคแพร่กระจายได้ด้วย
ฤดูฝน มีคนโทรมาห่วงว่ากลัวจะเป็นหวัด : เชื้อโรคแพร่ไวขึ้น 30%
ฤดูหนาว มีคนสัมผัสมือแก้หนาว : เชื้อโรคแพร่ไวขึ้น 70%
ฤดูร้อน มีคนชวนไปเที่ยวทะเล : เชื้อโรคแพร่ไวขึ้น 25%
อาการของโรคนี้ โดยมากแล้วจะเริ่มจากการคิดเข้าข้างตัวเอง
จากนั้นก็จะเริ่มมีอาการอ่อนแอทางจิตใจมากขึ้นเรื่อยๆ
จะส่งผลกระทบต่อไปถึงชีวิตประจำวัน เช่น ตื่นสายเพราะมัวคุย
ทางองค์การอนามัยโลก
จัดให้เป็นโรคที่อันตรายอีกโรคหนึ่ง
เพราะได้มีผลกระทบต่อทั้งตัวผู้ติดเชื้อเอง
ทั้งร่างกายและจิตใจอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ผลการวิจัยของสถาบันการแพทย์ชั้นนำ
ได้ข้อสรุปตรงกันว่า โรคแพ้ความใกล้ชิดนั้น
อาการจะรุนแรงมากหรือน้อยต่างกันขึ้นอยู่กับตัวผู้รับเชื้อเอง
หากเกิดอาการอ่อนแอทางจิตใจยิ่งมีมากเท่าไหร่
อาการของโรคนี้ก็จะน่ากลัวมากยิ่งขึ้น
ผลกระทบจากโรคนี้คือ
เมื่อเชื้อโรคได้แพร่เข้าสู่หัวใจโดยทางเส้นเลือดนั้น
จะทำให้เกิดอาการท้อแท้ หมดหวัง สิ้นหวัง โทษตัวเอง น้อยใจชีวิต
ปัจจุบันนี้ ทางการแพทย์ยังไม่สามารถที่จะหาวัคซีนป้องกันได้
เพราะเนื่องจากเชื้อนี้เป็นไวรัส ไม่สามารถฆ่าให้ตายได้
ทำให้โรคนี้เมื่อเกิดขึ้นแล้ว จะเป็นๆ หายๆ
ไม่สามารถระบุได้ว่าจะเป็นอีกเมื่อไหร่ และจะหายเมื่อไหร่
ขึ้นอยู่กับผลกระทบที่เกิดขึ้นว่ารุนแรงมากน้อยเพียงใด
แพทย์หลายท่านระบุว่า " เวลา"
จะเป็นยารักษาโรคนี้ได้ดีที่สุด
โรคนี้จะเกิดกับคนที่อ่อนแอทางจิตใจขั้นรุนแรง
อาการเบื้องต้นของโรคนี้เริ่มจากเชื้อพาหะจะเข้ามาใกล้
สร้างความสนิทสนมกันตามประสาคนรู้จัก
แต่จะส่งผลถึงคลื่นไฟฟ้าในสมอง
ซึ่งจะแปรเปลี่ยนคลื่นความถี่จากความรู้สึกธรรมดาฉันท์เพื่อน พี่ น้อง
ให้เป็นตามที่ใจตนเองต้องการ
ต่อจากนั้น เมื่อเชื้อโรคได้เข้าสู่ร่างกายแล้ว
จะกระจายตัวอย่างรวดเร็วด้วยระยะเวลาอันสั้น
ซึ่งจะแปรตามความสัมพันธ์ที่มีมากหรือน้อยระหว่างผู้รับเชื้อกับผู้แพร่เชื้อ
ยิ่งมีมาก เชื้อก็จะยิ่งแพร่กระจายได้ไกล
โดยที่สภาพอากาศมีส่วนช่วยกระตุ้นให้เชื้อโรคแพร่กระจายได้ด้วย
ฤดูฝน มีคนโทรมาห่วงว่ากลัวจะเป็นหวัด : เชื้อโรคแพร่ไวขึ้น 30%
ฤดูหนาว มีคนสัมผัสมือแก้หนาว : เชื้อโรคแพร่ไวขึ้น 70%
ฤดูร้อน มีคนชวนไปเที่ยวทะเล : เชื้อโรคแพร่ไวขึ้น 25%
อาการของโรคนี้ โดยมากแล้วจะเริ่มจากการคิดเข้าข้างตัวเอง
จากนั้นก็จะเริ่มมีอาการอ่อนแอทางจิตใจมากขึ้นเรื่อยๆ
จะส่งผลกระทบต่อไปถึงชีวิตประจำวัน เช่น ตื่นสายเพราะมัวคุย
ทางองค์การอนามัยโลก
จัดให้เป็นโรคที่อันตรายอีกโรคหนึ่ง
เพราะได้มีผลกระทบต่อทั้งตัวผู้ติดเชื้อเอง
ทั้งร่างกายและจิตใจอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ผลการวิจัยของสถาบันการแพทย์ชั้นนำ
ได้ข้อสรุปตรงกันว่า โรคแพ้ความใกล้ชิดนั้น
อาการจะรุนแรงมากหรือน้อยต่างกันขึ้นอยู่กับตัวผู้รับเชื้อเอง
หากเกิดอาการอ่อนแอทางจิตใจยิ่งมีมากเท่าไหร่
อาการของโรคนี้ก็จะน่ากลัวมากยิ่งขึ้น
ผลกระทบจากโรคนี้คือ
เมื่อเชื้อโรคได้แพร่เข้าสู่หัวใจโดยทางเส้นเลือดนั้น
จะทำให้เกิดอาการท้อแท้ หมดหวัง สิ้นหวัง โทษตัวเอง น้อยใจชีวิต
ปัจจุบันนี้ ทางการแพทย์ยังไม่สามารถที่จะหาวัคซีนป้องกันได้
เพราะเนื่องจากเชื้อนี้เป็นไวรัส ไม่สามารถฆ่าให้ตายได้
ทำให้โรคนี้เมื่อเกิดขึ้นแล้ว จะเป็นๆ หายๆ
ไม่สามารถระบุได้ว่าจะเป็นอีกเมื่อไหร่ และจะหายเมื่อไหร่
ขึ้นอยู่กับผลกระทบที่เกิดขึ้นว่ารุนแรงมากน้อยเพียงใด
แพทย์หลายท่านระบุว่า " เวลา"
จะเป็นยารักษาโรคนี้ได้ดีที่สุด
ขึ้นคาน เป็นสำนวน หมายความถึง หญิงที่มีอายุเลยวัยสาวแล้วแต่ยังไม่ได้แต่งงาน. เป็นคำที่มีนัยตำหนิเล็กน้อย. เพราะแต่โบราณมานิยมให้ผู้หญิงแต่งงานเพื่อให้มีผู้ดูแลและป้องกันภัย. ผู้หญิงที่ไม่แต่งงานอาจจะเป็นเพราะหาผู้ที่คู่ควรหรือถูกใจไม่ได้ เช่น เพื่อนเราคนนี้คงจะขึ้นคานแน่ ๆ อายุเกือบ ๕๐ แล้ว ยังไม่พบใครถูกใจเลย .
คำว่า ขึ้นคาน เป็นสำนวนมาจากการเรียกเรือที่ยกขึ้นพาดไว้บนคานเพื่อซ่อมรอยรั่ว ยาชัน ทาน้ำมันใหม่. ในตอนนั้นเรือจึงใช้ประโยชน์ไม่ได้ ค้างเติ่งอยู่บนคาน. ต่อมาจึงนำคำว่า ขึ้นคาน มาเปรียบกับหญิงที่มีอายุมากและอยู่เป็นโสด. คานคำนี้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับไม้คานที่ใช้คู่กับสาแหรกใช้หาบของ.
ขึ้นคาน เป็นสำนวนหมายถึง หญิงโสดที่มีอายุ เพราะหาคู่แต่งงานที่คู่ควรไม่ได้ มักใช้พูดกับผู้หญิง สำนวน ขึ้นคาน ขุนวิจิตรมาตรา สันนิษฐานว่า มาจากการนำเรือที่จะซ่อมขึ้นมาบนบก ซึ่งต้องทำฐานไว้รองเรือในขณะซ่อม เรียกว่า คานเรือ เรืออยู่บนคานไม่ได้นำลงมาใช้ เรียกว่า ขึ้นคาน
http://www.thaitv3.com/learnthai/data/oct2003.html
เชื่อเถอะ... โลกนี้ไม่มีคาน
ไม่ว่าจะอายุ 35 40 45 หรือ 50 หากคุณยังสนุกสนานกับการใช้ชีวิต คุณก็ยังมีสิทธิ์ที่จะโลดแล่นหาความสุข และมีความรักได้ตลอดเวลา
อายุ 35 ปีแล้ว ยังไม่มีแฟนเลย ใครๆ เตือนให้ระวังจะขึ้นคาน กลัวจังเลยค่ะ
“ขึ้นคาน” คำคำนี้เป็นคำบาดใจผู้หญิงมาหลายยุคหลายสมัย มีผู้หญิงที่น่าสงสารจำนวนมากถูกสังคมตราหน้าว่า “ขึ้นคาน” และมีผู้หญิงอีกจำนวนมากถูกหลอกให้หวาดกลัวการขึ้นคาน
ความจริงแล้วการขึ้นคานเป็นเรื่องสมมติ เป็นเรื่องเล่าสยองขวัญเหมือน urban legend หรือเรื่อง “ผีป๊อกครึ่ดด” ที่เอาไว้ขู่ให้คนกลัวเล่น เป็นความเชื่อผิด ๆ ที่ล้าสมัย เป็นมายาภาพ เหมือนกับ Matrix ที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อหลอกให้ผู้หญิงหลงใช้ชีวิตในแบบที่ตัวเองไม่ต้องการ เพราะกลัวการขึ้นคาน ถ้าหากคุณเป็นผู้หญิงที่ทันสมัย มีจิตใจแข็งแกร่ง และมีวิญญาณรักอิสระ คุณจะสามารถเอาชนะ หรือทำลายภาพลวงตาอันนี้ลงได้ แล้วเมื่อนั้นคุณจะพบความจริงว่า…โลกนี้ไม่มีคาน
เคยมีคนแอบคิดเล่นๆ ว่า การขู่ให้ผู้หญิงกลัวขึ้นคานน่าจะเกิดมาจากผู้ชายที่หวังร้าย อยากให้เรากลัวการอยู่คนเดียวเสียจนยอมแต่งงานกับผู้ชายง่ายๆ ซึ่งจะทำให้ผู้ชายเป็นฝ่ายได้เปรียบ และเป็นที่ต้องการมากขึ้น หรือไม่ก็มาจากพวกผู้หญิงที่แต่งงานไปแล้วอยากจะยกตนข่มคนที่ยังไม่ได้แต่งงาน เหมือนในนิทานเรื่องหมาจิ้งจอกหางด้วนนั่นไง
ลองคิดดูซีคะว่า คุณเกิดมาตัวคนเดียว และอยู่คนเดียวดิบดีมาตั้งแต่อ้อนแต่ออก แล้วทำไมพออายุเกิน 35 ปี เข้าหน่อยการอยู่คนเดียวกลับกลายเป็นเรื่องผิดปกติ ผู้ชายที่อายุเยอะแล้ว ยังไม่ได้แต่งงาน เรากลับเรียกเขาว่าพ่อพวงมาลัย ลอยไปลอยมา ฟังดูน่ารัก แต่พอเป็นผู้หญิงบ้างกลับกลับกลายเป็นสาวทึนทึก ขึ้นคงขึ้นคานอะไรไปโน่น ไม่เอ๊า!
เราไม่ได้อยู่ในยุคโบร่ำโบราญที่ผู้หญิงจะต้องรีบแต่งงานตั้งแต่เริ่มแตกสาว เพื่อจะได้รับออกลูกออกเต้าให้ทันใช้งาน สมัยนี้การแต่งงานเป็นการหาเพื่อนร่วมชีวิต ที่จะอยู่เป็นคู่คุยคู่คิดกันมากกว่า หากคุณยังไม่พบคนที่น่าใช้ชีวิตด้วย ก็ไม่เห็นจำเป็นจะต้องรีบร้อน
ในทางกลับกัน ถึงแม้คุณจะอยากแต่งงานจนเนื้อเต้นริกๆ แต่ไม่มีผู้ชายหน้าไหนทำท่าว่าจะหลงกล คุณก็อย่าเพิ่งตีตนไปก่อนไข้ว่าตัวเองนั้น “ขึ้นคาน” เพราะการคิดอย่างนี้จะทำให้คุณเฉื่อยเนือย ยอมรับสภาพ จนในที่สุดคุณจะพ่ายแพ้แก่ matrix คุณจะนึกว่า “คาน” นั้นมีจริง และตัวคุณกำลังนั่งกินลมชมวิวอยู่บนนั้น หนึ่งปีต่อมา คานเล็ก ๆ เตี้ย ๆ ก็กลายเป็นคานคอนกรีตเสริมเหล็กสูงเสียดฟ้า ปูด้วยหินแกรนิตอย่างดี แล้วคุณคงจะคิดว่าคงต้องอยู่บนนั้นไปตลอดชีวิต
เปลี่ยนความคิดเสียใหม่เถิดค่ะ หากวันเวลาผ่านไปคุณยังหาแฟนไม่ได้ซะที แทนที่จะคิดว่าขึ้นคานลองคิดใหม่ว่าตัวเองคงไม่เอาไหน ไร้เสน่ห์ สิ่งที่ต้องทำคือเร่งมองหาข้อบกพร่อง แล้วปรับปรุงตัวเองอย่างเร่งด่วน เพื่อที่คุณจะได้หลุดพ้นจากสภาวะหมาหมินเช่นนี้โดยเร็ว
ในโลกนี้เราแบ่งผู้หญิงเป็น 2 ประเภท คือ ประเภทที่เป็นที่ต้องการ และประเภทที่ไม่เป็นที่ต้องการ ผู้หญิงที่ไม่เป็นที่ต้องการของใครต่อใครนั้น โดยมากจะไม่เป็นที่ต้องการมาตั้งแต่อายุน้อย ๆ แต่คนที่น่ารักมีเสน่ห์นั้น ถึงอายุจะมากขนาดไหนก็ยังขายดีเป็นเทน้ำเทท่าอยู่เหมือนเดิม ดังนั้น ถ้าหากคุณเชื่อว่าคานมีจริง คุณก็คงขึ้นไปอยู่บนนั้นตั้งแต่ 5 ขวบแล้ว ไม่ใช่เพิ่งขึ้นตอนอายุ 35 นี้หรอกค่ะ
เพราะโลกนี้ไม่มีคาน จึงไม่มีใครต้องขึ้นคาน ไม่ว่าจะอายุ 35 40 45 หรือ 50 หากคุณยังสนุกสนานกับใช้ชีวิต คุณก็ยังมีสิทธิ์ที่จะโลดแล่น และมีความรักได้ตลอดเวลา
ไม่มีใครจะกักขังคุณเอาไว้บนคานได้ หากในใจคุณไม่มีคาน
สำหรับสาวมั่นอย่างดิฉันและคุณ คานกับเราอยู่คนละ matrix กันค่ะ
คำว่า ขึ้นคาน เป็นสำนวนมาจากการเรียกเรือที่ยกขึ้นพาดไว้บนคานเพื่อซ่อมรอยรั่ว ยาชัน ทาน้ำมันใหม่. ในตอนนั้นเรือจึงใช้ประโยชน์ไม่ได้ ค้างเติ่งอยู่บนคาน. ต่อมาจึงนำคำว่า ขึ้นคาน มาเปรียบกับหญิงที่มีอายุมากและอยู่เป็นโสด. คานคำนี้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับไม้คานที่ใช้คู่กับสาแหรกใช้หาบของ.
ขึ้นคาน เป็นสำนวนหมายถึง หญิงโสดที่มีอายุ เพราะหาคู่แต่งงานที่คู่ควรไม่ได้ มักใช้พูดกับผู้หญิง สำนวน ขึ้นคาน ขุนวิจิตรมาตรา สันนิษฐานว่า มาจากการนำเรือที่จะซ่อมขึ้นมาบนบก ซึ่งต้องทำฐานไว้รองเรือในขณะซ่อม เรียกว่า คานเรือ เรืออยู่บนคานไม่ได้นำลงมาใช้ เรียกว่า ขึ้นคาน
http://www.thaitv3.com/learnthai/data/oct2003.html
เชื่อเถอะ... โลกนี้ไม่มีคาน
ไม่ว่าจะอายุ 35 40 45 หรือ 50 หากคุณยังสนุกสนานกับการใช้ชีวิต คุณก็ยังมีสิทธิ์ที่จะโลดแล่นหาความสุข และมีความรักได้ตลอดเวลา
อายุ 35 ปีแล้ว ยังไม่มีแฟนเลย ใครๆ เตือนให้ระวังจะขึ้นคาน กลัวจังเลยค่ะ
“ขึ้นคาน” คำคำนี้เป็นคำบาดใจผู้หญิงมาหลายยุคหลายสมัย มีผู้หญิงที่น่าสงสารจำนวนมากถูกสังคมตราหน้าว่า “ขึ้นคาน” และมีผู้หญิงอีกจำนวนมากถูกหลอกให้หวาดกลัวการขึ้นคาน
ความจริงแล้วการขึ้นคานเป็นเรื่องสมมติ เป็นเรื่องเล่าสยองขวัญเหมือน urban legend หรือเรื่อง “ผีป๊อกครึ่ดด” ที่เอาไว้ขู่ให้คนกลัวเล่น เป็นความเชื่อผิด ๆ ที่ล้าสมัย เป็นมายาภาพ เหมือนกับ Matrix ที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อหลอกให้ผู้หญิงหลงใช้ชีวิตในแบบที่ตัวเองไม่ต้องการ เพราะกลัวการขึ้นคาน ถ้าหากคุณเป็นผู้หญิงที่ทันสมัย มีจิตใจแข็งแกร่ง และมีวิญญาณรักอิสระ คุณจะสามารถเอาชนะ หรือทำลายภาพลวงตาอันนี้ลงได้ แล้วเมื่อนั้นคุณจะพบความจริงว่า…โลกนี้ไม่มีคาน
เคยมีคนแอบคิดเล่นๆ ว่า การขู่ให้ผู้หญิงกลัวขึ้นคานน่าจะเกิดมาจากผู้ชายที่หวังร้าย อยากให้เรากลัวการอยู่คนเดียวเสียจนยอมแต่งงานกับผู้ชายง่ายๆ ซึ่งจะทำให้ผู้ชายเป็นฝ่ายได้เปรียบ และเป็นที่ต้องการมากขึ้น หรือไม่ก็มาจากพวกผู้หญิงที่แต่งงานไปแล้วอยากจะยกตนข่มคนที่ยังไม่ได้แต่งงาน เหมือนในนิทานเรื่องหมาจิ้งจอกหางด้วนนั่นไง
ลองคิดดูซีคะว่า คุณเกิดมาตัวคนเดียว และอยู่คนเดียวดิบดีมาตั้งแต่อ้อนแต่ออก แล้วทำไมพออายุเกิน 35 ปี เข้าหน่อยการอยู่คนเดียวกลับกลายเป็นเรื่องผิดปกติ ผู้ชายที่อายุเยอะแล้ว ยังไม่ได้แต่งงาน เรากลับเรียกเขาว่าพ่อพวงมาลัย ลอยไปลอยมา ฟังดูน่ารัก แต่พอเป็นผู้หญิงบ้างกลับกลับกลายเป็นสาวทึนทึก ขึ้นคงขึ้นคานอะไรไปโน่น ไม่เอ๊า!
เราไม่ได้อยู่ในยุคโบร่ำโบราญที่ผู้หญิงจะต้องรีบแต่งงานตั้งแต่เริ่มแตกสาว เพื่อจะได้รับออกลูกออกเต้าให้ทันใช้งาน สมัยนี้การแต่งงานเป็นการหาเพื่อนร่วมชีวิต ที่จะอยู่เป็นคู่คุยคู่คิดกันมากกว่า หากคุณยังไม่พบคนที่น่าใช้ชีวิตด้วย ก็ไม่เห็นจำเป็นจะต้องรีบร้อน
ในทางกลับกัน ถึงแม้คุณจะอยากแต่งงานจนเนื้อเต้นริกๆ แต่ไม่มีผู้ชายหน้าไหนทำท่าว่าจะหลงกล คุณก็อย่าเพิ่งตีตนไปก่อนไข้ว่าตัวเองนั้น “ขึ้นคาน” เพราะการคิดอย่างนี้จะทำให้คุณเฉื่อยเนือย ยอมรับสภาพ จนในที่สุดคุณจะพ่ายแพ้แก่ matrix คุณจะนึกว่า “คาน” นั้นมีจริง และตัวคุณกำลังนั่งกินลมชมวิวอยู่บนนั้น หนึ่งปีต่อมา คานเล็ก ๆ เตี้ย ๆ ก็กลายเป็นคานคอนกรีตเสริมเหล็กสูงเสียดฟ้า ปูด้วยหินแกรนิตอย่างดี แล้วคุณคงจะคิดว่าคงต้องอยู่บนนั้นไปตลอดชีวิต
เปลี่ยนความคิดเสียใหม่เถิดค่ะ หากวันเวลาผ่านไปคุณยังหาแฟนไม่ได้ซะที แทนที่จะคิดว่าขึ้นคานลองคิดใหม่ว่าตัวเองคงไม่เอาไหน ไร้เสน่ห์ สิ่งที่ต้องทำคือเร่งมองหาข้อบกพร่อง แล้วปรับปรุงตัวเองอย่างเร่งด่วน เพื่อที่คุณจะได้หลุดพ้นจากสภาวะหมาหมินเช่นนี้โดยเร็ว
ในโลกนี้เราแบ่งผู้หญิงเป็น 2 ประเภท คือ ประเภทที่เป็นที่ต้องการ และประเภทที่ไม่เป็นที่ต้องการ ผู้หญิงที่ไม่เป็นที่ต้องการของใครต่อใครนั้น โดยมากจะไม่เป็นที่ต้องการมาตั้งแต่อายุน้อย ๆ แต่คนที่น่ารักมีเสน่ห์นั้น ถึงอายุจะมากขนาดไหนก็ยังขายดีเป็นเทน้ำเทท่าอยู่เหมือนเดิม ดังนั้น ถ้าหากคุณเชื่อว่าคานมีจริง คุณก็คงขึ้นไปอยู่บนนั้นตั้งแต่ 5 ขวบแล้ว ไม่ใช่เพิ่งขึ้นตอนอายุ 35 นี้หรอกค่ะ
เพราะโลกนี้ไม่มีคาน จึงไม่มีใครต้องขึ้นคาน ไม่ว่าจะอายุ 35 40 45 หรือ 50 หากคุณยังสนุกสนานกับใช้ชีวิต คุณก็ยังมีสิทธิ์ที่จะโลดแล่น และมีความรักได้ตลอดเวลา
ไม่มีใครจะกักขังคุณเอาไว้บนคานได้ หากในใจคุณไม่มีคาน
สำหรับสาวมั่นอย่างดิฉันและคุณ คานกับเราอยู่คนละ matrix กันค่ะ
- ABOUT
ブログ2
- カテゴリー
- ブログ内検索