เขาเป็นอย่างงี้ตั้งแต่แรกคบเลยหรือเปล่า? หรือเพิ่งมาเปลี่ยนไปช่วงหลังๆ?
รักของคุณ คืออะไร(ที่ไม่ใช่ตับไตไส้พุง)..การโทรหากันบ่อยๆ พูดว่ารัก แสดงออกทุกอย่างเต็มที่
แต่รักของเขา อาจจะเป็นแค่ การได้ยินเสียงของอีกฝ่ายก็สุขใจแล้ว..ก็ได้
บางทีเค้าอาจจะไม่ได้ไม่ใส่คุณนะ เพียงแต่เค้าอาจจะคิดว่ามันไม่น่าจะใช่เรื่องใหญ่ และคิดว่าคุณคงไม่คิดเล็กคิดน้อยอะไร หรือไม่คุณอาจตั้งความหวังกับเค้าสูงเกินจากที่เค้าเป็นก้อได้นะครับ ลองบอกเค้าสิครับ ว่าคุณต้องการอะไร แล้วดูปฎิกริยาของเค้าต่อไป ให้โอกาสเค้าหน่อย เอาใจช่วยนะครับ อยากเห็นคนรักกันอ่ะ
ตรงกันเป๊ะเลยครับ สถานการ์ณเดียวกันเลย....
แต่ตอนนี้ผมปล่อยแล้วครับ ถึงเวลาเค้าก็จะมาหา โทรมาเองครับ
ตราบใดที่เค้ายังรักเราคนเดียว
แต่ ตอนคบกัน กลับหันหลังให้กัน ไม่คุยกัน ไม่กล้าทำไร ได้แต่คิด และ พูดในใจ
พอถึงเลาจริงๆ เงียบ และ เฉย.....แอบทำลับหลัง
ตอนคบกัน ทำงอล ทำน้อยใจ แอบๆๆ ดีใจบ้าง
หากเราเห็นค่า และ ยอมทำอะไร ที่เราไม่กล้าทำ...เลิกคิดว่าเขาไม่ใส่ใจ
มันอาจจะยืดยาวกว่านี้
เอาใจใส่ทุกอย่าง แต่เขาก็ชอบเจ้าชู้ ชอบล้อเล่นให้คิดมาก จนบางทีก็แอบคิดจริง
พอลองเปิดใจคุยกัน เขาก็บอกว่าเราคิดมาก เพราะเขามีเราแค่คนเดียว
รักของคุณ คืออะไร(ที่ไม่ใช่ตับไตไส้พุง)..การโทรหากันบ่อยๆ พูดว่ารัก แสดงออกทุกอย่างเต็มที่
แต่รักของเขา อาจจะเป็นแค่ การได้ยินเสียงของอีกฝ่ายก็สุขใจแล้ว..ก็ได้
บางทีเค้าอาจจะไม่ได้ไม่ใส่คุณนะ เพียงแต่เค้าอาจจะคิดว่ามันไม่น่าจะใช่เรื่องใหญ่ และคิดว่าคุณคงไม่คิดเล็กคิดน้อยอะไร หรือไม่คุณอาจตั้งความหวังกับเค้าสูงเกินจากที่เค้าเป็นก้อได้นะครับ ลองบอกเค้าสิครับ ว่าคุณต้องการอะไร แล้วดูปฎิกริยาของเค้าต่อไป ให้โอกาสเค้าหน่อย เอาใจช่วยนะครับ อยากเห็นคนรักกันอ่ะ
ตรงกันเป๊ะเลยครับ สถานการ์ณเดียวกันเลย....
แต่ตอนนี้ผมปล่อยแล้วครับ ถึงเวลาเค้าก็จะมาหา โทรมาเองครับ
ตราบใดที่เค้ายังรักเราคนเดียว
แต่ ตอนคบกัน กลับหันหลังให้กัน ไม่คุยกัน ไม่กล้าทำไร ได้แต่คิด และ พูดในใจ
พอถึงเลาจริงๆ เงียบ และ เฉย.....แอบทำลับหลัง
ตอนคบกัน ทำงอล ทำน้อยใจ แอบๆๆ ดีใจบ้าง
หากเราเห็นค่า และ ยอมทำอะไร ที่เราไม่กล้าทำ...เลิกคิดว่าเขาไม่ใส่ใจ
มันอาจจะยืดยาวกว่านี้
เอาใจใส่ทุกอย่าง แต่เขาก็ชอบเจ้าชู้ ชอบล้อเล่นให้คิดมาก จนบางทีก็แอบคิดจริง
พอลองเปิดใจคุยกัน เขาก็บอกว่าเราคิดมาก เพราะเขามีเราแค่คนเดียว
PR
คบกับแฟนมานานแต่เขาไม่ใส่ใจ ไม่ค่อยไม่ปัญหากันเท่าไรเพราะเราไม่เรื่องมาก
คำแนะนำใดๆก็ไม่ใส่ใจ แต่คำแนะนำของคนอื่นมีความสำคัญมากกว่า
มีแต่เราที่เข้าหา ไปหาเขา แต่เขาไม่เข้าหาหรือมาหาเรา บางครั้งว่างๆก็ลองไม่นัดเขาบ้าง รู้ทั้งรู้ว่าเราว่างก็ไม่เคยคิดจะมาหาหรือชวนไปเที่ยว
ยังรักอยู่นะแต่เหมือนว่าเราเจ็บเรื่อยๆมาหลายปีแล้ว รู้สึกเหมือนไม่เห็นค่าเราเลย บอกรักอย่างเดียวแต่การกระทำไม่มีให้เห็นเลย
อืมน่าเห็นใจนะ คนเราพูดเพียงอย่างเดียวม่ายได้หรอก มันต้องกระทำด้วย ยังไงก้ออดทนให้ถึงที่สุดก่อนนะ หรือจับเข่าคุยกันเลย เอาไงว่ามา จะได้ไม่ค้างคาใจ
มีเราเป็นฝ่ายชวนคนเดียว ถูกปฏิเสธอยู่เรื่อย....น้อยใจแต่ก็ไม่กล้าพูด
ได้แต่ทำใจน่ะ คิดมากตอนไหนต้องบอกกับตัวเองว่า ช่างมัน
เหนื่อยจนไม่รู้ว่า ตอนนี้เป็นอะไรกับเค้า ไม่ใส่ใจ ไม่ให้ความสำคัญ
คำแนะนำใดๆก็ไม่ใส่ใจ แต่คำแนะนำของคนอื่นมีความสำคัญมากกว่า
มีแต่เราที่เข้าหา ไปหาเขา แต่เขาไม่เข้าหาหรือมาหาเรา บางครั้งว่างๆก็ลองไม่นัดเขาบ้าง รู้ทั้งรู้ว่าเราว่างก็ไม่เคยคิดจะมาหาหรือชวนไปเที่ยว
ยังรักอยู่นะแต่เหมือนว่าเราเจ็บเรื่อยๆมาหลายปีแล้ว รู้สึกเหมือนไม่เห็นค่าเราเลย บอกรักอย่างเดียวแต่การกระทำไม่มีให้เห็นเลย
อืมน่าเห็นใจนะ คนเราพูดเพียงอย่างเดียวม่ายได้หรอก มันต้องกระทำด้วย ยังไงก้ออดทนให้ถึงที่สุดก่อนนะ หรือจับเข่าคุยกันเลย เอาไงว่ามา จะได้ไม่ค้างคาใจ
มีเราเป็นฝ่ายชวนคนเดียว ถูกปฏิเสธอยู่เรื่อย....น้อยใจแต่ก็ไม่กล้าพูด
ได้แต่ทำใจน่ะ คิดมากตอนไหนต้องบอกกับตัวเองว่า ช่างมัน
เหนื่อยจนไม่รู้ว่า ตอนนี้เป็นอะไรกับเค้า ไม่ใส่ใจ ไม่ให้ความสำคัญ
บ้าง บ้าง อะไร บ้าง
บ้าง อะไร บ้าง
อะไรยังไง บ้าง
คำพวกนี้มันมาจากไหน
ใครรู้บอกที
http://kapi.exteen.com/20080728/entry-1
ใครรู้บ้าง...
ถ้าได้คำตอบอะไรบ้าง..
ก็บอกกันบ้างนะ..
ไม่รู้บ้างเหมือนกันค่ะ
ไว้รู้คำว่า ดรี
แล้วจะมาช่วยหาอีก 2 รอบ
อืม แต่ก็อยากจะรู้บ้าง เหมือนกันนะ
ว่า บ้าง บ้าง หมายถึงอะไรบ้าง
อ่านแล้วก็งงบ้าง เหมือยกัน
บาง บ่าง บ้าง บ๊าง บ๋าง
"บ้าง" ตามสารานุกรมวิกี้พีเดียร์เอนไซน์อาไมเรส ได้เขียนบอกไว้ว่า ศาสตราจารย์ด็อกเตอร์เกลโล่เป็นผู้คิดค้นศัพท์คำนี้ ซึ่งมีที่มาจากรากศัพท์ของชนเผ่าฮิบบลูลลลล ซึ่งเป็นการเปล่งเสียงที่เพี้ยนน มาจาก "booๆ" ซึ่งเป็นการเปล่งเสียงเพื่อแสดงความเคารพต่อหัวหน้าเผ่านั้นเอง
บ้าง
บางครั้ง
บ่อยๆ
บอย บอยย
ผู้ชาย!!
บ้างอะไรบ้าง อะไรยังไง
นี่นั่นโน่นนี่
ไปดีกว่า
เป็นคำมูลมั้งครับ น่าจะ
รู้สึกว่า มีความหมายเหมือนคำว่า .... มั่งนี้นา
ก็อยากมีความสุขบ้าง (อ่านแล้วไม่รู้ว่า เสียงจริงจัง ก้าวร้าว หรือ อ้อนๆ)
ก็อยากมีความสุขบ้าง อะไรบ้าง (อืมมม.. ห้าๆๆ เหมือนอ้อนๆ น้อยใจว่า ก็อยากมีความสุขมั้งนี้นา)
ว. ใช้ประกอบคําอื่นหมายความว่า บางจํานวนหรือบางส่วนของสิ่งที่ กล่าวถึงโดยเฉพาะ เช่น อย่างนั้นบ้าง อย่างนี้บ้าง ขอบ้าง, บางส่วนของ จํานวนรวมที่แบ่งเป็น ๒ เช่น เรื่องที่เล่าจริงบ้าง เท็จบ้าง, มีส่วนร่วม มีความหมายคล้ายคำว่า ด้วย เช่น ขอเล่นบ้าง ขอขี่จักรยานบ้าง, เอาอย่าง เช่น เห็นเขาทําก็ทําบ้าง. ส. คําใช้แทน ผู้หรือสิ่งที่พูดถึงในกรณีที่แยก กล่าวโดยเฉพาะ เช่น บ้างก็กิน บ้างก็เล่น, เป็นสรรพนามบุรุษที่ ๓.
เห็นเค้าชอบพูดกัน
อยากมีแฟนบ้างอะไรบ้าง
เหงาบ้างอะไรบ้าง
กินข้าวนอกบ้านบ้างอะไรบ้าง
หิวบ้างอะไรบ้าง
ขอสวยบ้างอะไรบ้าง
.....บ้างอะไรบ้าง <<< คำนี้ มันมาจากไหนหรอ ถึงพูดกันติดปากเลย
เริ่มพูดคำว่า บ้าง ทำไมเขานิยมหรอ ก้อ เสียงชวนตอบดี
หยุดคิดบ้างอะไรบ้าง
บ้าง อะไร บ้าง
อะไรยังไง บ้าง
คำพวกนี้มันมาจากไหน
ใครรู้บอกที
http://kapi.exteen.com/20080728/entry-1
ใครรู้บ้าง...
ถ้าได้คำตอบอะไรบ้าง..
ก็บอกกันบ้างนะ..
ไม่รู้บ้างเหมือนกันค่ะ
ไว้รู้คำว่า ดรี
แล้วจะมาช่วยหาอีก 2 รอบ
อืม แต่ก็อยากจะรู้บ้าง เหมือนกันนะ
ว่า บ้าง บ้าง หมายถึงอะไรบ้าง
อ่านแล้วก็งงบ้าง เหมือยกัน
บาง บ่าง บ้าง บ๊าง บ๋าง
"บ้าง" ตามสารานุกรมวิกี้พีเดียร์เอนไซน์อาไมเรส ได้เขียนบอกไว้ว่า ศาสตราจารย์ด็อกเตอร์เกลโล่เป็นผู้คิดค้นศัพท์คำนี้ ซึ่งมีที่มาจากรากศัพท์ของชนเผ่าฮิบบลูลลลล ซึ่งเป็นการเปล่งเสียงที่เพี้ยนน มาจาก "booๆ" ซึ่งเป็นการเปล่งเสียงเพื่อแสดงความเคารพต่อหัวหน้าเผ่านั้นเอง
บ้าง
บางครั้ง
บ่อยๆ
บอย บอยย
ผู้ชาย!!
บ้างอะไรบ้าง อะไรยังไง
นี่นั่นโน่นนี่
ไปดีกว่า
เป็นคำมูลมั้งครับ น่าจะ
รู้สึกว่า มีความหมายเหมือนคำว่า .... มั่งนี้นา
ก็อยากมีความสุขบ้าง (อ่านแล้วไม่รู้ว่า เสียงจริงจัง ก้าวร้าว หรือ อ้อนๆ)
ก็อยากมีความสุขบ้าง อะไรบ้าง (อืมมม.. ห้าๆๆ เหมือนอ้อนๆ น้อยใจว่า ก็อยากมีความสุขมั้งนี้นา)
ว. ใช้ประกอบคําอื่นหมายความว่า บางจํานวนหรือบางส่วนของสิ่งที่ กล่าวถึงโดยเฉพาะ เช่น อย่างนั้นบ้าง อย่างนี้บ้าง ขอบ้าง, บางส่วนของ จํานวนรวมที่แบ่งเป็น ๒ เช่น เรื่องที่เล่าจริงบ้าง เท็จบ้าง, มีส่วนร่วม มีความหมายคล้ายคำว่า ด้วย เช่น ขอเล่นบ้าง ขอขี่จักรยานบ้าง, เอาอย่าง เช่น เห็นเขาทําก็ทําบ้าง. ส. คําใช้แทน ผู้หรือสิ่งที่พูดถึงในกรณีที่แยก กล่าวโดยเฉพาะ เช่น บ้างก็กิน บ้างก็เล่น, เป็นสรรพนามบุรุษที่ ๓.
เห็นเค้าชอบพูดกัน
อยากมีแฟนบ้างอะไรบ้าง
เหงาบ้างอะไรบ้าง
กินข้าวนอกบ้านบ้างอะไรบ้าง
หิวบ้างอะไรบ้าง
ขอสวยบ้างอะไรบ้าง
.....บ้างอะไรบ้าง <<< คำนี้ มันมาจากไหนหรอ ถึงพูดกันติดปากเลย
เริ่มพูดคำว่า บ้าง ทำไมเขานิยมหรอ ก้อ เสียงชวนตอบดี
หยุดคิดบ้างอะไรบ้าง
เมื่อคนที่คุณโทรหาไม่รับสาย
http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=dek-khanghong&month=05-2008&date=23&group=3&gblog=17
เหนื่อยไหมคะกับการที่โทรหาใครแล้วเขาไม่รับสาย และคุณก็ไม่ทราบด้วยว่าเขาอยู่ที่ไหน ทำอะไร อยู่กับใคร ทีแรกก็จะพอทนได้ อดทนรอ หลังจากนั้นได้สักพักก็เริ่มจะโทรตามเขาถี่ขึ้นเรื่อยๆ เมื่อกดโทรออกแต่ละครั้งก็จะคิดไปว่าครั้งนี้เขาจะต้องรับแน่ๆ แต่ก็ไม่เคยมีสักสายที่เขาจะรับ
คุณก็จะเริ่มคิดละ คิดไปว่าทำไมไม่รับ โทรศัพท์อยู่ที่ไหน แล้วตัวอยู่ที่ไหน ไม่ได้พกแล้วทำอะไรอยู่ อยู่กับใคร เริ่มจะกระวนกระวายใจ
เมื่อกระวนกระวายใจมากๆ ก็จะเริ่มอารมณ์เสีย เที่ยวโทรทุกเบอร์ที่คิดว่าจะขอสายเขาได้ เช่นเบอร์บ้าน เบอร์พ่อแม่ เบอร์พี่น้องของเขา แต่ก็ติดต่อไม่ได้เช่นกัน จะทำให้พาลหงุดหงิดกันไปใหญ่
กว่าเขาจะโทรกลับมาก็ปาเข้าไปหลายชั่วโมงถัดมาแล้ว คุณก็จะโกรธจนไม่รู้จะว่ายังไง อยากคุยก็อยากคุย แต่โกรธก็โกรธ ในใจก็คิดอยากจะประท้วงเสียดื้อๆ แต่พอได้ยินเสียงเขาก็มีความรู้สึกว่าโกรธไม่ลงจริงๆ
แต่หลังจากนั้นก็เขาก็จะยังทำตัวอย่างนั้น และจะเป็นอย่างนั้นอีกหลายๆ ครั้ง แต่ทุกๆ ครั้งคุณก็ไม่เคยโกรธแบบจริงๆ จังๆ สักที แม้จะเคยคิดว่า ครั้งนี้โกรธมาก จะประท้วงโดยการไม่รับสายให้ดู ไม่คุยด้วยแล้ว แต่ก็ยังไม่มีครั้งไหนประสบความสำเร็จสักที เพราะรักนี่นา
นี่ที่เปิดอ่านเพราะว่างจากที่เขาคนนั้นไม่รับสายใช่มั้ยละ ^_^ - - -//
เมื่อคนที่คุณโทรหาไม่รับสาย 2
ฝากข้อความดังนี้:
1. “ไม่รับสายมีโทษขั้นประหารชีวิต” (เชิงขู่เค้าเล็กน้อย)
2. “สายที่ 1 – พอทน
สายที่ 2 – ทำไม
สายที่ 3 – กวน... (ต เต่า สระอี น หนู)”
3. “ญาติคุณเสีย ไม่รู้หรอ แล้วทำไมไม่รับสาย” หรือ “ญาติคุณเสียแล้ว”
(จะเปลี่ยนเป็นเพื่อนหรือใครก็สุดจะแล้วแต่) (เค้าอาจจะรีบโทรกลับ)
4. “วิธีการรับสายเบื้องต้น:
กดปุ่มสีเขียว
พูดว่า ‘ฮัลโหล’
ไม่ยากใช่ไหม แล้วทำไมทำไม่ได้” (แอบว่าเล็กน้อย)
5. “ฉันถูกล็อตเตอรี่รางวัลที่ ๑” (เค้าจะรีบโทรกลับทันที อิอิ)
ถึงแม้ว่าเขาจะไม่รับสายของคุณด้วยเหตุผลอะไรก็ตามที่เขาไม่ได้บอกคุณก่อน ก็เพียงแค่บอกให้เขารู้ว่าคุณเป็นห่วงเขานะ เวลาจะไปไหนก็บอกบ้าง อย่างน้อยฉันก็จะได้รู้ว่าอยู่ไหน ไม่เกิดอะไรขึ้นใช่มั้ย แต่ถ้าเขาไม่ได้บอกคุณ ก็อย่าเพิ่งรีบตีโพยตีพายไปหละ ทำใจเย็นๆ รอ และย้ำเขาบ่อยๆ ว่าไม่ชอบ ไม่อยากให้ทำแบบนี้ เป็นห่วง ฯลฯ หากเขายังเป็นเหมือนเดิมก็ตั้งข้อตกลงกับเขาเลยค่ะ
ถ้าทำอย่างไรก็ไม่เวิร์ค ขอแนะนำว่าให้ซื้อสายห้อยโทรศัพท์ที่คอไว้เลยค่ะ และบังคับให้เขาใส่ เขารับแน่นอน (เคยทำแล้วค่ะ ขำมาก หลังจากนั้นเขาก็ขอไม่ห้อยแต่สัญญาว่าจะรับสายตลอดเลย)
ขอแจมด้วยคน
6. “วิธีการโทรกลับเบื้องต้น :
กดปุ่มสีเขียว หรือ โทรออก
พูดว่า ‘ฮัลโหล’ ถ้าไม่มีตังค์ กดปุ่มวางสาย
ไม่ยากใช่ไหม แล้วทำไมทำไม่ได้” (ใส่ใจความรู้สึกคนโทรหน่อยจิ)
Refer : เว็บไซต์ "สาระแน.คอม - ไม่ไร้สาระ"
http://www.saranair.com/article.php?sid=17069
http://www.saranair.com/article.php?sid=17070
http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=dek-khanghong&month=05-2008&date=23&group=3&gblog=17
เหนื่อยไหมคะกับการที่โทรหาใครแล้วเขาไม่รับสาย และคุณก็ไม่ทราบด้วยว่าเขาอยู่ที่ไหน ทำอะไร อยู่กับใคร ทีแรกก็จะพอทนได้ อดทนรอ หลังจากนั้นได้สักพักก็เริ่มจะโทรตามเขาถี่ขึ้นเรื่อยๆ เมื่อกดโทรออกแต่ละครั้งก็จะคิดไปว่าครั้งนี้เขาจะต้องรับแน่ๆ แต่ก็ไม่เคยมีสักสายที่เขาจะรับ
คุณก็จะเริ่มคิดละ คิดไปว่าทำไมไม่รับ โทรศัพท์อยู่ที่ไหน แล้วตัวอยู่ที่ไหน ไม่ได้พกแล้วทำอะไรอยู่ อยู่กับใคร เริ่มจะกระวนกระวายใจ
เมื่อกระวนกระวายใจมากๆ ก็จะเริ่มอารมณ์เสีย เที่ยวโทรทุกเบอร์ที่คิดว่าจะขอสายเขาได้ เช่นเบอร์บ้าน เบอร์พ่อแม่ เบอร์พี่น้องของเขา แต่ก็ติดต่อไม่ได้เช่นกัน จะทำให้พาลหงุดหงิดกันไปใหญ่
กว่าเขาจะโทรกลับมาก็ปาเข้าไปหลายชั่วโมงถัดมาแล้ว คุณก็จะโกรธจนไม่รู้จะว่ายังไง อยากคุยก็อยากคุย แต่โกรธก็โกรธ ในใจก็คิดอยากจะประท้วงเสียดื้อๆ แต่พอได้ยินเสียงเขาก็มีความรู้สึกว่าโกรธไม่ลงจริงๆ
แต่หลังจากนั้นก็เขาก็จะยังทำตัวอย่างนั้น และจะเป็นอย่างนั้นอีกหลายๆ ครั้ง แต่ทุกๆ ครั้งคุณก็ไม่เคยโกรธแบบจริงๆ จังๆ สักที แม้จะเคยคิดว่า ครั้งนี้โกรธมาก จะประท้วงโดยการไม่รับสายให้ดู ไม่คุยด้วยแล้ว แต่ก็ยังไม่มีครั้งไหนประสบความสำเร็จสักที เพราะรักนี่นา
นี่ที่เปิดอ่านเพราะว่างจากที่เขาคนนั้นไม่รับสายใช่มั้ยละ ^_^ - - -//
เมื่อคนที่คุณโทรหาไม่รับสาย 2
ฝากข้อความดังนี้:
1. “ไม่รับสายมีโทษขั้นประหารชีวิต” (เชิงขู่เค้าเล็กน้อย)
2. “สายที่ 1 – พอทน
สายที่ 2 – ทำไม
สายที่ 3 – กวน... (ต เต่า สระอี น หนู)”
3. “ญาติคุณเสีย ไม่รู้หรอ แล้วทำไมไม่รับสาย” หรือ “ญาติคุณเสียแล้ว”
(จะเปลี่ยนเป็นเพื่อนหรือใครก็สุดจะแล้วแต่) (เค้าอาจจะรีบโทรกลับ)
4. “วิธีการรับสายเบื้องต้น:
กดปุ่มสีเขียว
พูดว่า ‘ฮัลโหล’
ไม่ยากใช่ไหม แล้วทำไมทำไม่ได้” (แอบว่าเล็กน้อย)
5. “ฉันถูกล็อตเตอรี่รางวัลที่ ๑” (เค้าจะรีบโทรกลับทันที อิอิ)
ถึงแม้ว่าเขาจะไม่รับสายของคุณด้วยเหตุผลอะไรก็ตามที่เขาไม่ได้บอกคุณก่อน ก็เพียงแค่บอกให้เขารู้ว่าคุณเป็นห่วงเขานะ เวลาจะไปไหนก็บอกบ้าง อย่างน้อยฉันก็จะได้รู้ว่าอยู่ไหน ไม่เกิดอะไรขึ้นใช่มั้ย แต่ถ้าเขาไม่ได้บอกคุณ ก็อย่าเพิ่งรีบตีโพยตีพายไปหละ ทำใจเย็นๆ รอ และย้ำเขาบ่อยๆ ว่าไม่ชอบ ไม่อยากให้ทำแบบนี้ เป็นห่วง ฯลฯ หากเขายังเป็นเหมือนเดิมก็ตั้งข้อตกลงกับเขาเลยค่ะ
ถ้าทำอย่างไรก็ไม่เวิร์ค ขอแนะนำว่าให้ซื้อสายห้อยโทรศัพท์ที่คอไว้เลยค่ะ และบังคับให้เขาใส่ เขารับแน่นอน (เคยทำแล้วค่ะ ขำมาก หลังจากนั้นเขาก็ขอไม่ห้อยแต่สัญญาว่าจะรับสายตลอดเลย)
ขอแจมด้วยคน
6. “วิธีการโทรกลับเบื้องต้น :
กดปุ่มสีเขียว หรือ โทรออก
พูดว่า ‘ฮัลโหล’ ถ้าไม่มีตังค์ กดปุ่มวางสาย
ไม่ยากใช่ไหม แล้วทำไมทำไม่ได้” (ใส่ใจความรู้สึกคนโทรหน่อยจิ)
Refer : เว็บไซต์ "สาระแน.คอม - ไม่ไร้สาระ"
http://www.saranair.com/article.php?sid=17069
http://www.saranair.com/article.php?sid=17070
เมื่อวานมีคนเอ่ยปากถามเราว่า มานั่งขายของริมฟุตบาทแบบนี้ไม่อายคน
เหรอ เมื่อก่อนมีร้านใหญ่โตอยู่แล้วทำไมจู่ๆถึงมาขายของริมถนนได้ล่ะ?
เราไม่ได้รู้สึกโกรธเคืองคนที่เค้าถามแต่อย่างใด เพราะเรารู้ดีว่าเป็นใคร ใคร
ก็ต้องคิดแบบนั้น เพราะอะไรหน่ะหรือ? ก็เพราะคุณแม่ของเราเป็นคนที่มี
หน้ามีตาในสังคมบ้านเราหน่ะสิ แล้วทำไมจู่ๆลูกสาวคนเล็กของแม่ต้องมานั่ง
ขายของริมถนนแบบนี้ เป็นใคร ใครก็ต้องคิด ไม่คิดสิแปลก
ก็เพราะเราว่าปล่อยวางแล้วหน่ะสิ
ทุกวันนี้เรามีความสุขในสิ่งที่เราทำ ทำมาหากินโดยสุจริตและป๊าก็ได้ทำใน
สิ่งที่ป๊าชอบนั่นก็คือเปิดแผงพระเครื่องเล็กๆและใส่กรอบแสตนเลส
ในแต่ละวันป๊าหาเงินได้มากพอดู(หลังจากที่หักค่าเช่าที่วันละ40บาท)
และดูป๊าจะมีความสุขที่ได้หาเงินเลี้ยงเราแบบเต็มตัวเสียที
ทุกวันนี้เราอยู่แบบสบายๆไม่เดือดร้อนอะไร หนี้สินไม่มี
อยู่กันสองคนผัวเมีย ไม่ฟุ้งเฟ้อ ไม่อวดร่ำอวดรวย ไม่ต้องขับรถหรูๆ
อยู่แบบสมถะ มีพออยู่พอกินและค่อยๆดำเนินชีวิตต่อไปอย่างระมัดระวัง
เพราะเราสองคนผัวเมีย มีบทเรียนในการใช้ชีวิตมามากพอแล้ว
http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=petsp&month=07-2009&date=25&group=19&gblog=26
เหรอ เมื่อก่อนมีร้านใหญ่โตอยู่แล้วทำไมจู่ๆถึงมาขายของริมถนนได้ล่ะ?
เราไม่ได้รู้สึกโกรธเคืองคนที่เค้าถามแต่อย่างใด เพราะเรารู้ดีว่าเป็นใคร ใคร
ก็ต้องคิดแบบนั้น เพราะอะไรหน่ะหรือ? ก็เพราะคุณแม่ของเราเป็นคนที่มี
หน้ามีตาในสังคมบ้านเราหน่ะสิ แล้วทำไมจู่ๆลูกสาวคนเล็กของแม่ต้องมานั่ง
ขายของริมถนนแบบนี้ เป็นใคร ใครก็ต้องคิด ไม่คิดสิแปลก
ก็เพราะเราว่าปล่อยวางแล้วหน่ะสิ
ทุกวันนี้เรามีความสุขในสิ่งที่เราทำ ทำมาหากินโดยสุจริตและป๊าก็ได้ทำใน
สิ่งที่ป๊าชอบนั่นก็คือเปิดแผงพระเครื่องเล็กๆและใส่กรอบแสตนเลส
ในแต่ละวันป๊าหาเงินได้มากพอดู(หลังจากที่หักค่าเช่าที่วันละ40บาท)
และดูป๊าจะมีความสุขที่ได้หาเงินเลี้ยงเราแบบเต็มตัวเสียที
ทุกวันนี้เราอยู่แบบสบายๆไม่เดือดร้อนอะไร หนี้สินไม่มี
อยู่กันสองคนผัวเมีย ไม่ฟุ้งเฟ้อ ไม่อวดร่ำอวดรวย ไม่ต้องขับรถหรูๆ
อยู่แบบสมถะ มีพออยู่พอกินและค่อยๆดำเนินชีวิตต่อไปอย่างระมัดระวัง
เพราะเราสองคนผัวเมีย มีบทเรียนในการใช้ชีวิตมามากพอแล้ว
http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=petsp&month=07-2009&date=25&group=19&gblog=26
วันนี้ ท่านคงจะทราบกันดีแล้ว ว่าเป็นวันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๑๑ ซึ่งตรงกับวันตักบาตรเทโวฯ พิธีตักบาตรเทโวฯนี้ ทางวัดได้จัดไว้ล่วงหน้าก่อนแล้ว หนึ่งวัน คือจัดตั้งแต่เมื่อวานนี้ คือ วันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๑ เนื่องจากศรัทธาญาติโยม ที่มาที่วัดนี้จำนวนมาก มีความปรารถนา ที่จะไปตักบาตรทั้ง ๒ วัดด้วยกัน คือ อยากจะมาตักบาตรที่วัดญาณฯ และอยากจะไปตักบาตรที่วัดใกล้บ้านด้วย ถ้าจัดพร้อมกันแล้วญาติโยมจะไม่สามารถไปตักบาตรทั้ง ๒ วัดได้ ดังนั้น ทางวัดญาณฯ เลยมีธรรมเนียมถือปฏิบัติมา ตั้งแต่สร้างวัดขึ้นมา ให้จัดพิธีตักบาตรเทโวฯขึ้นก่อนหนึ่งวัน คือวันพระ ขึ้น ๑๕ ค่ำ คือเมื่อวานนี้ เมื่อวานนี้ญาติโยมส่วนใหญ่ ได้มาตักบาตรไปแล้ว ถ้าท่านมาเมื่อวานนี้ ท่านจะไม่สามารถเข้ามานั่งในที่ศาลาแห่งนี้ได้ เพราะมีคนล้นศาลา แต่สำหรับวันนี้กำลังพอดีๆ ได้นั่งสบายๆ ไม่ต้องเบียดเสียดกัน
เพราะการทำบุญที่แท้จริงแล้วไม่ได้ขึ้นกับเวลา ไม่ได้ขึ้นกับสถานที่เป็นหลัก หลักใหญ่แล้ว อยู่ที่จิตใจของเราว่าปล่อยวางหรือเปล่า หรือยังยึดมั่น ถือมั่นอยู่ ถ้าจิตใจปล่อยวางได้แล้ว จิตใจจะมีแต่ความสบายใจ แต่ถ้าจิตใจยังยึดมั่น ถือมั่น ว่าสิ่งนี้ จะต้องเป็นอย่างนี้ สิ่งนั้น จะต้องเป็นอย่างนั้น เมื่อสิ่งเหล่านี้ ไม่ได้เป็นไปตามที่เราปรารถนา จิตใจก็จะมีแต่ความทุกข์ มีแต่ความไม่สบายใจ แต่ถ้าปล่อยวางได้ เช่น วันนี้เราเอาข้าวของ เอาอาหาร มาถวายพระ เราก็ปล่อยวาง คือ ข้าวของที่เอามาทำบุญนั้น เรายกให้คนอื่นเขาไปแล้ว เขาจะเอาไปทำอะไรก็เรื่องของเขา เรามีของเหลือกิน เหลือใช้แล้ว ก็แบ่งปันให้คนอื่นไป เก็บไว้ก็มีแต่ความหวงแหน มีแต่ความเสียดาย มีแต่ความทุกข์ เวลาโดนขโมยลักของไปก็จะเสียใจ แต่ถ้าได้ยกให้คนอื่นเขาไปแล้ว ก็จะเกิดความสบายใจ ของเรานี้ไม่มีความหมายอะไร มันอยู่ที่ใจเราต่างหาก ถ้าพร้อมที่จะสละแล้ว ใครจะเอาไปทำอย่างไร เราก็ไม่ทุกข์ใจ แต่ถ้าเรายังไม่ปล่อย ยังยึดติดอยู่ ว่าเป็นของของเรา พอมีคนอื่นหยิบเอาไปเสียก่อน เราก็จะเสียใจมาก
พระพุทธเจ้าทรงรู้ ทรงเห็น เรื่องของความทุกข์ในจิตใจของพวกเรา จึงสั่งสอนพวกเรา ไม่ให้ยึดติดกับอะไร เพราะว่าของทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้นั้น แท้ที่จริงแล้ว มันไม่ใช่เป็นของของเรา มันเป็นของที่มีอยู่กับโลกนี้มาแต่ดั้งเดิม เราเพียงแต่มาอาศัยโลกนี้อยู่ พึ่งพาอาศัยสิ่งเหล่านี้ ไปวันหนึ่งๆเท่านั้นเอง ในความเป็นจริงแล้ว สิ่งของเหล่านี้ และบุคคลต่างๆทั้งหมด จะต้องแยกกันไปในวันหนึ่งเมื่อถึงเวลา ไม่ว่าจะเป็นสามีของเราก็ดี ภรรยาของเราก็ดี บิดามารดาของเราก็ดี ลูกหลานของเราก็ดี เพื่อนสนิทมิตรสหายของเราก็ดี ต้องมีอันพลัดพรากจากกันไป เป็นธรรมดา เพราะมันเป็นธรรมชาติของโลกนี้ ที่จะต้องเป็นอย่างนี้
หลังจากที่พวกเรา ได้ตายไปในภพก่อน ชาติก่อนแล้ว ดวงวิญญาณของพวกเรา ก็มาเกิดในชาตินี้ มายึดครองร่างกายอันนี้ แล้วก็อาศัยร่างกายอันนี้ ไปยึด ไปครองสิ่งต่างๆในโลกนี้ แล้วก็ทุกข์ไปกับสิ่งเหล่านี้ เพราะอยากให้ทุกสิ่งทุกอย่าง เป็นไปตามความอยากของเรา แต่ก็ไม่เป็นไปตามอย่างที่เราปรารถนากัน เพราะว่าโลกนี้เป็นโลกของอนิจจัง อนิจจัง คือความไม่จีรัง ไม่ถาวร ไม่ยั่งยืนนั้นเอง อยู่กับเรา ชั่วประเดี๋ยว ประด๋าว สักระยะหนึ่ง แล้วก็จากไป เช่น วันนี้ญาติโยมได้มาทำบุญ ที่วัดนี้ มาพบพระภิกษุ สามเณร ที่จำพรรษาอยู่ในวัดนี้ เดี๋ยวอีกสักครู่หนึ่ง ท่านทั้งหลายก็ต้องแยกย้ายกันไป นี่คือลักษณะของโลกนี้
พระพุทธองค์จึงทรงสั่งสอน ไม่ให้พวกเราไปยึดติดกับอะไร เพราะถ้าไปยึดติดปั๊บ พอไม่เป็นไปตามที่ปรารถนา ตามที่ต้องการ ก็จะมีแต่ความทุกข์ใจ ท่านจึงทรงสอนให้ปล่อยวาง ทำอะไรก็ให้ปล่อยวาง เวลามีทรัพย์สมบัติ ข้าวของ เงินทอง มากน้อยแค่ไหนก็ตาม จะรักษาเก็บไว้อย่างไรก็ได้ แต่ใจต้องพร้อมที่จะจากกันไป เพราะไม่รู้ว่าจะตายจากกันเมื่อไรนั่นเอง วิธีหนึ่งที่จะตรวจสอบว่า ใจเรายังมีความยึดมั่น ถือมั่น กับข้าวของ เงินทองหรือเปล่า ก็คือการทำบุญให้ทานนั้นเอง ถ้าไม่ยึดไม่ติด ก็จะทำบุญ ทำทานได้อย่างสบายใจ แล้วก็มีความสุขใจ แต่ถ้ายังยึดติดอยู่กับเงินทอง ข้าวของแล้วละก้อ เวลาจะทำบุญ ให้ทานผู้อื่น จะรู้สึกว่าเป็นเรื่องยากลำบาก ถ้าเป็นเช่นนี้ ต้องพยายามเอาชนะใจให้ได้ ต้องพยายามฝืนใจ พยายามต่อสู้กับความตระหนี่ ความยึดมั่น ถือมั่น ความหวงแหนทั้งหลาย ต้องบอกตัวเราว่าอย่าไปยึด อย่าไปติด เกิดมีการพลัดพรากจากกัน ก่อนที่เราจะทำใจได้ ก็จะเกิดความเสียใจเป็นอย่างยิ่ง
นี่คือเรื่องของการดูแลจิตใจของเราไม่ให้ทุกข์ ด้วยการปล่อยวาง ความยึดมั่น ถือมั่นในสิ่งต่างๆในโลกนี้ พยายามสอนใจว่า เราเกิดมาในโลกนี้ชั่วประเดี๋ยวประด๋าว ในที่สุดทุกสิ่งทุกอย่างก็ต้องหมดไป เราก็ต้องจากไป จะไปดี หรือไปไม่ดี ก็ขึ้นอยู่กับจิตใจของเรา ถ้าจิตใจมีแต่การปล่อยวาง จิตใจก็จะไปดี จะไปด้วยความสุข แต่ถ้าจิตใจ มีแต่ความยึดมั่น ถือมั่น เวลาจากโลกนี้ไป จะมีแต่ความทรมานใจอย่างยิ่ง มีแต่ความหวาดกลัว เกิดความทุกข์ เกิดความไม่อยากจะไปนั้นเอง ถ้าเราไม่ยึดไม่ติดแล้ว เมื่อถึงเวลา ก็พร้อมที่จะไป ก็ไปได้อย่างสบายใจ ไปอย่างไม่ทุกข์ใจ จิตที่ไปด้วยความสบายใจ ก็จะไปสู่สุคติ จิตที่ไปด้วยความทุกข์ทรมานใจ ก็จะไปสู่ทุคติ ไปสู่อบาย เพราะความยึดมั่น ถือมั่น เป็นเหตุนั้นเอง
ดังนั้นถ้าอยากจะอยู่ในโลกนี้ด้วยความร่มเย็นเป็นสุข และตายจากโลกนี้ไปด้วยความสงบสุขละก้อ จงพยายามฝึกหัดการปล่อยวาง อย่าไปยึด อย่าไปติด กับสิ่งต่างๆในโลกนี้ พยายามทำความเข้าใจว่า สิ่งต่างๆที่รวมกันอยู่ เป็นตัวเรานั้น เป็นของที่เขาให้ยืมเอามาใช้ ไปวันหนึ่งๆเท่านั้น สักวันหนึ่ง เมื่อถึงเวลา เจ้าของจะมาเอาคืนไป เจ้าของนี้ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน ก็คือธรรมชาตินี้เอง คือความไม่เที่ยงแท้แน่นอนนั่นเอง ท่านจึงทรงแสดงไว้ว่า สัพเพ สังขารา อนิจจา สังขารทั้งหลายเป็นของไม่เที่ยง สัพเพ ธัมมา อนัตตา หมายถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่เรามีอยู่ เป็นอยู่ แม้กระทั่งร่างกายของเรา ก็ไม่ได้เป็นของเรา อนัตตา แปลว่าไม่ใช่ของของเรา เป็นของโลกนี้ ทุกๆอย่างเป็นของยืมมาใช้ เมื่อถึงเวลาเราก็ต้องปล่อยคืนสิ่งเหล่านั้นไป
จึงขอให้พวกเราทุกๆคน จงสร้างบุญ สร้างกุศล ด้วยการพยายามสอนตัวเราอยู่เรื่อยๆ ให้ระลึกถึงความตายทุกลมหายใจเข้าออก ให้รู้ว่าสักวันหนึ่งเราก็จะต้องตาย และจะตายเมื่อไรก็ไม่รู้ อาจจะตายพรุ่งนี้ก็ได้ หรืออาจจะเป็นเย็นนี้ก็ได้ หรืออาจจะเป็นเที่ยงนี้ก็ได้ หรืออาจจะเป็นอีกสิบปี ยี่สิบปีก็ได้ ไม่มีใครสามารถที่จะไปรู้ในสิ่งเหล่านี้ได้ ถ้าไม่ได้เตรียมตัว เตรียมใจเอาไว้ก่อนแล้ว เวลาเหตุการณ์เกิดขึ้น จะเกิดการตกอก ตกใจ เกิดความกลัวขึ้นมา แต่ถ้าได้สอนใจอยู่เสมอว่า เราต้องไปสักวันหนึ่งไม่ช้าก็เร็ว เตือนสติอยู่เรื่อยๆ ระลึกถึงความตายอยู่เรื่อยๆ จนสามารถปล่อยวางได้ ไม่ยึด ไม่ติด เราก็จะมีความสุข มีความสบายใจ
สิ่งของทั้งหลายในโลกนี้ เป็นของที่เราเอาติดตัวไปไม่ได้ เวลาตายไปไม่มีใครเอาข้าวของเงินทองใส่โลงไปด้วย มีแต่เอาไปเผาทิ้ง เอาอะไรไปไม่ได้ เอาไปได้แต่ความสุขหรือความทุกข์ ที่เกิดจากบุญและบาปเท่านั้นเอง ถ้ามีบุญ มีธรรมะ ที่ทำให้ปล่อยวางได้ ก็ไปสบาย ไปสู่สุคติ ไปสู่สวรรค์ ไปเป็นเทพ เป็นพรหม เป็นพระอริยะบุคคล ถ้าไปด้วยความยึดมั่น ถือมั่น ก็จะไปด้วยความทุกข์ แสดงว่าจะต้องไปสู่ทุกคติ ไปสู่อบาย ไปสู่ความเป็นเดรัจฉาน เป็นเปรต เป็นอสุรกาย ไปสู่นรก
ถ้าปรารถนาที่จะอยู่ในโลกนี้ด้วยความสบายใจ ด้วยความร่มเย็น เป็นสุข ไม่มีความทุกข์ ก็ขอให้สร้างธรรมะขึ้นมา ถ้าได้สอนตัวเราเองตลอดเวลาแล้ว ใจจะปล่อย ใจจะวาง และเมื่อถึงเวลาที่จะต้องจากโลกนี้ไป หรือจะต้องพลัดพรากจากใครก็ตาม จากสิ่งของทั้งหลายก็ตาม เราจะไม่มีความทุกข์ใจ เช่นเวลาเรากลับไปบ้าน พบว่าขโมยได้ขึ้นบ้านเรา ขโมยข้าวของไปหมด ถ้าได้ปล่อย ได้ปลงไว้ก่อนแล้ว ได้เตรียมใจไว้ก่อนแล้ว เราก็จะพูดว่า เออ! จะไปก็ไป ของทุกสิ่งทุกอย่าง มันไม่เที่ยงแท้แน่นอน เราจะไม่ตกใจ ไม่เสียใจ ไม่ร้องห่มร้องไห้ เพราะของเหล่านี้หายไปแล้ว ทำไมจะต้องเสีย ๒ ต่อ คือ เสียของแล้ว ยังต้องมาเสียใจด้วยทำไม ของมันก็หายไปแล้ว ยังไงๆมันก็ไปแล้ว เราอย่าไปเสียใจ เรารักษาใจได้ด้วยธรรมะ
จึงขอให้พวกเราพยายามน้อมคำสอนของพระพุทธเจ้าเข้ามา ให้เห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่างเป็นอนิจจัง เป็นของไม่เที่ยง ทุกสิ่งทุกอย่าง เป็นอนัตตา ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของของเรา ถ้ามีความรู้ทั้ง ๒ อย่างนี้ ติดตัวติดใจเราแล้ว เราจะไม่ยึด ไม่ติด เมื่อไม่ยึด ไม่ติดแล้ว เราจะมีแต่ความสบายใจ ขอฝากธรรมะนี้ ให้กับญาติโยมนำไป สั่งสอนอบรมใจอยู่อย่างสม่ำเสมอ ทุกลมหายใจเข้าออกถ้าสามารถทำได้ แล้วญาติโยมจะมีธรรมะเป็นเครื่องปกป้องคุ้มครองรักษา ไม่ให้จิตใจมีความทุกข์ ไม่ให้จิตใจไปสู่ที่ต่ำ การแสดงเห็นว่าสมควรแก่เวลา ขอยุติไว้เพียงเท่านี้
เพราะการทำบุญที่แท้จริงแล้วไม่ได้ขึ้นกับเวลา ไม่ได้ขึ้นกับสถานที่เป็นหลัก หลักใหญ่แล้ว อยู่ที่จิตใจของเราว่าปล่อยวางหรือเปล่า หรือยังยึดมั่น ถือมั่นอยู่ ถ้าจิตใจปล่อยวางได้แล้ว จิตใจจะมีแต่ความสบายใจ แต่ถ้าจิตใจยังยึดมั่น ถือมั่น ว่าสิ่งนี้ จะต้องเป็นอย่างนี้ สิ่งนั้น จะต้องเป็นอย่างนั้น เมื่อสิ่งเหล่านี้ ไม่ได้เป็นไปตามที่เราปรารถนา จิตใจก็จะมีแต่ความทุกข์ มีแต่ความไม่สบายใจ แต่ถ้าปล่อยวางได้ เช่น วันนี้เราเอาข้าวของ เอาอาหาร มาถวายพระ เราก็ปล่อยวาง คือ ข้าวของที่เอามาทำบุญนั้น เรายกให้คนอื่นเขาไปแล้ว เขาจะเอาไปทำอะไรก็เรื่องของเขา เรามีของเหลือกิน เหลือใช้แล้ว ก็แบ่งปันให้คนอื่นไป เก็บไว้ก็มีแต่ความหวงแหน มีแต่ความเสียดาย มีแต่ความทุกข์ เวลาโดนขโมยลักของไปก็จะเสียใจ แต่ถ้าได้ยกให้คนอื่นเขาไปแล้ว ก็จะเกิดความสบายใจ ของเรานี้ไม่มีความหมายอะไร มันอยู่ที่ใจเราต่างหาก ถ้าพร้อมที่จะสละแล้ว ใครจะเอาไปทำอย่างไร เราก็ไม่ทุกข์ใจ แต่ถ้าเรายังไม่ปล่อย ยังยึดติดอยู่ ว่าเป็นของของเรา พอมีคนอื่นหยิบเอาไปเสียก่อน เราก็จะเสียใจมาก
พระพุทธเจ้าทรงรู้ ทรงเห็น เรื่องของความทุกข์ในจิตใจของพวกเรา จึงสั่งสอนพวกเรา ไม่ให้ยึดติดกับอะไร เพราะว่าของทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้นั้น แท้ที่จริงแล้ว มันไม่ใช่เป็นของของเรา มันเป็นของที่มีอยู่กับโลกนี้มาแต่ดั้งเดิม เราเพียงแต่มาอาศัยโลกนี้อยู่ พึ่งพาอาศัยสิ่งเหล่านี้ ไปวันหนึ่งๆเท่านั้นเอง ในความเป็นจริงแล้ว สิ่งของเหล่านี้ และบุคคลต่างๆทั้งหมด จะต้องแยกกันไปในวันหนึ่งเมื่อถึงเวลา ไม่ว่าจะเป็นสามีของเราก็ดี ภรรยาของเราก็ดี บิดามารดาของเราก็ดี ลูกหลานของเราก็ดี เพื่อนสนิทมิตรสหายของเราก็ดี ต้องมีอันพลัดพรากจากกันไป เป็นธรรมดา เพราะมันเป็นธรรมชาติของโลกนี้ ที่จะต้องเป็นอย่างนี้
หลังจากที่พวกเรา ได้ตายไปในภพก่อน ชาติก่อนแล้ว ดวงวิญญาณของพวกเรา ก็มาเกิดในชาตินี้ มายึดครองร่างกายอันนี้ แล้วก็อาศัยร่างกายอันนี้ ไปยึด ไปครองสิ่งต่างๆในโลกนี้ แล้วก็ทุกข์ไปกับสิ่งเหล่านี้ เพราะอยากให้ทุกสิ่งทุกอย่าง เป็นไปตามความอยากของเรา แต่ก็ไม่เป็นไปตามอย่างที่เราปรารถนากัน เพราะว่าโลกนี้เป็นโลกของอนิจจัง อนิจจัง คือความไม่จีรัง ไม่ถาวร ไม่ยั่งยืนนั้นเอง อยู่กับเรา ชั่วประเดี๋ยว ประด๋าว สักระยะหนึ่ง แล้วก็จากไป เช่น วันนี้ญาติโยมได้มาทำบุญ ที่วัดนี้ มาพบพระภิกษุ สามเณร ที่จำพรรษาอยู่ในวัดนี้ เดี๋ยวอีกสักครู่หนึ่ง ท่านทั้งหลายก็ต้องแยกย้ายกันไป นี่คือลักษณะของโลกนี้
พระพุทธองค์จึงทรงสั่งสอน ไม่ให้พวกเราไปยึดติดกับอะไร เพราะถ้าไปยึดติดปั๊บ พอไม่เป็นไปตามที่ปรารถนา ตามที่ต้องการ ก็จะมีแต่ความทุกข์ใจ ท่านจึงทรงสอนให้ปล่อยวาง ทำอะไรก็ให้ปล่อยวาง เวลามีทรัพย์สมบัติ ข้าวของ เงินทอง มากน้อยแค่ไหนก็ตาม จะรักษาเก็บไว้อย่างไรก็ได้ แต่ใจต้องพร้อมที่จะจากกันไป เพราะไม่รู้ว่าจะตายจากกันเมื่อไรนั่นเอง วิธีหนึ่งที่จะตรวจสอบว่า ใจเรายังมีความยึดมั่น ถือมั่น กับข้าวของ เงินทองหรือเปล่า ก็คือการทำบุญให้ทานนั้นเอง ถ้าไม่ยึดไม่ติด ก็จะทำบุญ ทำทานได้อย่างสบายใจ แล้วก็มีความสุขใจ แต่ถ้ายังยึดติดอยู่กับเงินทอง ข้าวของแล้วละก้อ เวลาจะทำบุญ ให้ทานผู้อื่น จะรู้สึกว่าเป็นเรื่องยากลำบาก ถ้าเป็นเช่นนี้ ต้องพยายามเอาชนะใจให้ได้ ต้องพยายามฝืนใจ พยายามต่อสู้กับความตระหนี่ ความยึดมั่น ถือมั่น ความหวงแหนทั้งหลาย ต้องบอกตัวเราว่าอย่าไปยึด อย่าไปติด เกิดมีการพลัดพรากจากกัน ก่อนที่เราจะทำใจได้ ก็จะเกิดความเสียใจเป็นอย่างยิ่ง
นี่คือเรื่องของการดูแลจิตใจของเราไม่ให้ทุกข์ ด้วยการปล่อยวาง ความยึดมั่น ถือมั่นในสิ่งต่างๆในโลกนี้ พยายามสอนใจว่า เราเกิดมาในโลกนี้ชั่วประเดี๋ยวประด๋าว ในที่สุดทุกสิ่งทุกอย่างก็ต้องหมดไป เราก็ต้องจากไป จะไปดี หรือไปไม่ดี ก็ขึ้นอยู่กับจิตใจของเรา ถ้าจิตใจมีแต่การปล่อยวาง จิตใจก็จะไปดี จะไปด้วยความสุข แต่ถ้าจิตใจ มีแต่ความยึดมั่น ถือมั่น เวลาจากโลกนี้ไป จะมีแต่ความทรมานใจอย่างยิ่ง มีแต่ความหวาดกลัว เกิดความทุกข์ เกิดความไม่อยากจะไปนั้นเอง ถ้าเราไม่ยึดไม่ติดแล้ว เมื่อถึงเวลา ก็พร้อมที่จะไป ก็ไปได้อย่างสบายใจ ไปอย่างไม่ทุกข์ใจ จิตที่ไปด้วยความสบายใจ ก็จะไปสู่สุคติ จิตที่ไปด้วยความทุกข์ทรมานใจ ก็จะไปสู่ทุคติ ไปสู่อบาย เพราะความยึดมั่น ถือมั่น เป็นเหตุนั้นเอง
ดังนั้นถ้าอยากจะอยู่ในโลกนี้ด้วยความร่มเย็นเป็นสุข และตายจากโลกนี้ไปด้วยความสงบสุขละก้อ จงพยายามฝึกหัดการปล่อยวาง อย่าไปยึด อย่าไปติด กับสิ่งต่างๆในโลกนี้ พยายามทำความเข้าใจว่า สิ่งต่างๆที่รวมกันอยู่ เป็นตัวเรานั้น เป็นของที่เขาให้ยืมเอามาใช้ ไปวันหนึ่งๆเท่านั้น สักวันหนึ่ง เมื่อถึงเวลา เจ้าของจะมาเอาคืนไป เจ้าของนี้ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน ก็คือธรรมชาตินี้เอง คือความไม่เที่ยงแท้แน่นอนนั่นเอง ท่านจึงทรงแสดงไว้ว่า สัพเพ สังขารา อนิจจา สังขารทั้งหลายเป็นของไม่เที่ยง สัพเพ ธัมมา อนัตตา หมายถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่เรามีอยู่ เป็นอยู่ แม้กระทั่งร่างกายของเรา ก็ไม่ได้เป็นของเรา อนัตตา แปลว่าไม่ใช่ของของเรา เป็นของโลกนี้ ทุกๆอย่างเป็นของยืมมาใช้ เมื่อถึงเวลาเราก็ต้องปล่อยคืนสิ่งเหล่านั้นไป
จึงขอให้พวกเราทุกๆคน จงสร้างบุญ สร้างกุศล ด้วยการพยายามสอนตัวเราอยู่เรื่อยๆ ให้ระลึกถึงความตายทุกลมหายใจเข้าออก ให้รู้ว่าสักวันหนึ่งเราก็จะต้องตาย และจะตายเมื่อไรก็ไม่รู้ อาจจะตายพรุ่งนี้ก็ได้ หรืออาจจะเป็นเย็นนี้ก็ได้ หรืออาจจะเป็นเที่ยงนี้ก็ได้ หรืออาจจะเป็นอีกสิบปี ยี่สิบปีก็ได้ ไม่มีใครสามารถที่จะไปรู้ในสิ่งเหล่านี้ได้ ถ้าไม่ได้เตรียมตัว เตรียมใจเอาไว้ก่อนแล้ว เวลาเหตุการณ์เกิดขึ้น จะเกิดการตกอก ตกใจ เกิดความกลัวขึ้นมา แต่ถ้าได้สอนใจอยู่เสมอว่า เราต้องไปสักวันหนึ่งไม่ช้าก็เร็ว เตือนสติอยู่เรื่อยๆ ระลึกถึงความตายอยู่เรื่อยๆ จนสามารถปล่อยวางได้ ไม่ยึด ไม่ติด เราก็จะมีความสุข มีความสบายใจ
สิ่งของทั้งหลายในโลกนี้ เป็นของที่เราเอาติดตัวไปไม่ได้ เวลาตายไปไม่มีใครเอาข้าวของเงินทองใส่โลงไปด้วย มีแต่เอาไปเผาทิ้ง เอาอะไรไปไม่ได้ เอาไปได้แต่ความสุขหรือความทุกข์ ที่เกิดจากบุญและบาปเท่านั้นเอง ถ้ามีบุญ มีธรรมะ ที่ทำให้ปล่อยวางได้ ก็ไปสบาย ไปสู่สุคติ ไปสู่สวรรค์ ไปเป็นเทพ เป็นพรหม เป็นพระอริยะบุคคล ถ้าไปด้วยความยึดมั่น ถือมั่น ก็จะไปด้วยความทุกข์ แสดงว่าจะต้องไปสู่ทุกคติ ไปสู่อบาย ไปสู่ความเป็นเดรัจฉาน เป็นเปรต เป็นอสุรกาย ไปสู่นรก
ถ้าปรารถนาที่จะอยู่ในโลกนี้ด้วยความสบายใจ ด้วยความร่มเย็น เป็นสุข ไม่มีความทุกข์ ก็ขอให้สร้างธรรมะขึ้นมา ถ้าได้สอนตัวเราเองตลอดเวลาแล้ว ใจจะปล่อย ใจจะวาง และเมื่อถึงเวลาที่จะต้องจากโลกนี้ไป หรือจะต้องพลัดพรากจากใครก็ตาม จากสิ่งของทั้งหลายก็ตาม เราจะไม่มีความทุกข์ใจ เช่นเวลาเรากลับไปบ้าน พบว่าขโมยได้ขึ้นบ้านเรา ขโมยข้าวของไปหมด ถ้าได้ปล่อย ได้ปลงไว้ก่อนแล้ว ได้เตรียมใจไว้ก่อนแล้ว เราก็จะพูดว่า เออ! จะไปก็ไป ของทุกสิ่งทุกอย่าง มันไม่เที่ยงแท้แน่นอน เราจะไม่ตกใจ ไม่เสียใจ ไม่ร้องห่มร้องไห้ เพราะของเหล่านี้หายไปแล้ว ทำไมจะต้องเสีย ๒ ต่อ คือ เสียของแล้ว ยังต้องมาเสียใจด้วยทำไม ของมันก็หายไปแล้ว ยังไงๆมันก็ไปแล้ว เราอย่าไปเสียใจ เรารักษาใจได้ด้วยธรรมะ
จึงขอให้พวกเราพยายามน้อมคำสอนของพระพุทธเจ้าเข้ามา ให้เห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่างเป็นอนิจจัง เป็นของไม่เที่ยง ทุกสิ่งทุกอย่าง เป็นอนัตตา ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของของเรา ถ้ามีความรู้ทั้ง ๒ อย่างนี้ ติดตัวติดใจเราแล้ว เราจะไม่ยึด ไม่ติด เมื่อไม่ยึด ไม่ติดแล้ว เราจะมีแต่ความสบายใจ ขอฝากธรรมะนี้ ให้กับญาติโยมนำไป สั่งสอนอบรมใจอยู่อย่างสม่ำเสมอ ทุกลมหายใจเข้าออกถ้าสามารถทำได้ แล้วญาติโยมจะมีธรรมะเป็นเครื่องปกป้องคุ้มครองรักษา ไม่ให้จิตใจมีความทุกข์ ไม่ให้จิตใจไปสู่ที่ต่ำ การแสดงเห็นว่าสมควรแก่เวลา ขอยุติไว้เพียงเท่านี้
สิ่งที่เกิดขึ้นในจิตใจของเรา..
ควรค่าแก่การดำรงอยู่และรักษา..บ้างหรือไม่ ??
จิตใจ..ที่ปราศจากความว่างเปล่า..
จิตใจ..ที่ไม่หลงยึดติดกับสิ่งใด ๆ..
เป็นจิตใจ..ที่พร้อมจะปล่อยวางและว่างเปล่า..
วางจาก..อารมณ์และความรู้สึก..
วางจาก..ความสุขและความทุกข์..
วางจาก..สรรพสิ่งทั้งปวงในโลก..
วางจาก..ความว่างเปล่าในจิตใจ..
วางจาก..สิ่งที่มีสู่ความไม่มี..
ถ้าปล่อยวาง..จะเกิดความรู้สึกที่เบาสบายภายในจิตใจ..
ถ้าปล่อยวาง..จะเกิดความรู้สึกสงบลึก ๆ ภายในจิตใจ..
ถ้าปล่อยวาง..จะเกิดความไม่ยึดถือ..ไม่ยึดติด..ภายในจิตใจ..
ถ้าปล่อยวาง..จะเกิดความรู้เฉย ๆ เป็นกลาง ๆ ว่างเปล่า..ภายในจิตใจ..อย่างแท้จริง..
หลายคนประสบปัญหา..
กับคำว่า..ปล่อยวาง..และว่างเปล่า..
จึงพูดออกมาดัง ๆ ว่า..
มัวแต่ปล่อยวาง ๆ แล้วจะทำมาหากินอะไรได้..
การพูดเช่นนี้..
แสดงว่า..เรายังไม่เข้าใจ..
ความหมายของคำว่า..ปล่อยวาง..อย่างแท้จริง..
การปล่อย..ก็คือ..ไม่ยึด..ไม่ติด..ไม่ถือ..
การวาง..ก็คือ..ปลดลง..ปล่อยลง..ไม่แบก..สละละวาง..
ดังนั้น..คำว่า..ปล่อยวาง..
ก็คือ..ความว่างเปล่า..จากสิ่งทั้งหลายทั้งปวง..
ไม่ยึด..ไม่ติด..ไม่ถือ..ไม่แบก..ปลดปล่อย..สละออก..ได้อย่างสบายใจ..
พูดง่าย ๆว่า..ถ้าถือมันก็หนัก..ถ้าวางมันก็เบาสบาย..
ชีวิตของเราจะไม่หนัก..เพราะรู้จักปล่อยวาง..
ชีวิตของเราจะไม่ทุกข์..เพราะรู้จักวางใจได้ถูกที่..และถูกต้อง.
นั้นคือ..การปล่อยวาง..
จากอารมณ์และความรู้สึกทุก ๆ อย่าง..
ที่มันทำให้เราทุกข์ใจ..หนักใจ..
วางมัน..เพื่อให้มันเบาสบายใจ..
แล้วความสุขสงบจะบังเกิดขึ้นภายในจิตใจเรา..
บทความ..โดย..ชายน้อย..
ควรค่าแก่การดำรงอยู่และรักษา..บ้างหรือไม่ ??
จิตใจ..ที่ปราศจากความว่างเปล่า..
จิตใจ..ที่ไม่หลงยึดติดกับสิ่งใด ๆ..
เป็นจิตใจ..ที่พร้อมจะปล่อยวางและว่างเปล่า..
วางจาก..อารมณ์และความรู้สึก..
วางจาก..ความสุขและความทุกข์..
วางจาก..สรรพสิ่งทั้งปวงในโลก..
วางจาก..ความว่างเปล่าในจิตใจ..
วางจาก..สิ่งที่มีสู่ความไม่มี..
ถ้าปล่อยวาง..จะเกิดความรู้สึกที่เบาสบายภายในจิตใจ..
ถ้าปล่อยวาง..จะเกิดความรู้สึกสงบลึก ๆ ภายในจิตใจ..
ถ้าปล่อยวาง..จะเกิดความไม่ยึดถือ..ไม่ยึดติด..ภายในจิตใจ..
ถ้าปล่อยวาง..จะเกิดความรู้เฉย ๆ เป็นกลาง ๆ ว่างเปล่า..ภายในจิตใจ..อย่างแท้จริง..
หลายคนประสบปัญหา..
กับคำว่า..ปล่อยวาง..และว่างเปล่า..
จึงพูดออกมาดัง ๆ ว่า..
มัวแต่ปล่อยวาง ๆ แล้วจะทำมาหากินอะไรได้..
การพูดเช่นนี้..
แสดงว่า..เรายังไม่เข้าใจ..
ความหมายของคำว่า..ปล่อยวาง..อย่างแท้จริง..
การปล่อย..ก็คือ..ไม่ยึด..ไม่ติด..ไม่ถือ..
การวาง..ก็คือ..ปลดลง..ปล่อยลง..ไม่แบก..สละละวาง..
ดังนั้น..คำว่า..ปล่อยวาง..
ก็คือ..ความว่างเปล่า..จากสิ่งทั้งหลายทั้งปวง..
ไม่ยึด..ไม่ติด..ไม่ถือ..ไม่แบก..ปลดปล่อย..สละออก..ได้อย่างสบายใจ..
พูดง่าย ๆว่า..ถ้าถือมันก็หนัก..ถ้าวางมันก็เบาสบาย..
ชีวิตของเราจะไม่หนัก..เพราะรู้จักปล่อยวาง..
ชีวิตของเราจะไม่ทุกข์..เพราะรู้จักวางใจได้ถูกที่..และถูกต้อง.
นั้นคือ..การปล่อยวาง..
จากอารมณ์และความรู้สึกทุก ๆ อย่าง..
ที่มันทำให้เราทุกข์ใจ..หนักใจ..
วางมัน..เพื่อให้มันเบาสบายใจ..
แล้วความสุขสงบจะบังเกิดขึ้นภายในจิตใจเรา..
บทความ..โดย..ชายน้อย..
คนเราทำงานอย่ารอวาสนา
ใช้เงินเยอะ ก็ต้องทำงานให้เยอะค่ะ
นั่งรอวาสนา รอโชค เห็นมาเยอะแล้ว ..
มันไม่ได้มองโลกในแง่ดีนะคะ แบบนี้ เหมือนนั่งรอโชคชะตาโดยที่ไม่ได้ทำอะไรเลย
ผู้ชายคนนี้นอกจากจะดูเหมือนอนาคตมืดมนแล้ว ยังสร้างความฝันเพ้อเจ้อให้ตัวเอง
แต่นี่เค้าเห็นแก่ตัว ขี้ขลาด ไม่รับผิดชอบ หากคบไปคุณจะเหนื่อยหนักเปล่าๆ
การใช้ชีวิตแบบพอเพียง ไม่ใช่การไปทำนาทำสวนนะคะ
แต่การใช้ชีวิตแบบพอเพียง คือ การรุ้กิน รุ้ใช้ รุ้เก็บ
กินใช้เท่าที่มี เท่าที่รายได้เรามี เก็บเงิน ออมไว้ยามจำเป็น
พอใจในสิ่งที่ตัวเองมีอยู่ ไม่ได้โลภอยากได้ของฟุ่มเฟือย
แบบนี้ก็เรียก อยู่แบบพอเพียงแล้วนะคะ
เข้าใจค่ะว่าความผูกพันมีมากมายเหลือเกิน
แต่...สิ่งที่เขาทำทุกอย่างให้คุณสัมผัสได้นั้น
มีแต่ตัวอักษรเท่านั่น การกระทำอื่น ๆ ไม่มีเลย
คนที่รักเราจริง อย่างน้อยที่สุดเขาต้องรู้จักหน้าที่
ตนเองค่ะ ว่าควรคิดหรือทำอะไร ไม่ใช่มาหวัง
ลม ๆ แล้ง ๆ เรื่องโชคลาภ หรือ วาสนา
เขาต้องรักชีวืตตนเองให้เป็นก่อนค่ะ ถึงจะรักคนอื่นได้ดี
แทนที่จะทำงานเก็บเงิน
กลับฝากความหวังไว้กับดวง
มีปัญหา ทางด้านความคิด หรือ ความซึมเศร้า
ผู้ชายร้อยเล่ห์มารยาแบบนั้น ไม่เอาถ่านเลยจริง ๆ จะเก็บไว้ทำไมคะ
อายุยังน้อย อนาคตดีๆ รออยู่ข้างหน้าค่ะ จะทำอะไรคิดหน้าคิดหลังให้รอบด้าน อย่าเอาอารมณ์เป็นใหญ่
ถ้ามีอะไรพลาดพลั้งไปแล้ว จะเรียกกลับมาไม่ได้นะคะ
เขาบอกว่าถ้าเจอผู้ชายดี มั่นคงกว่าเขา เขาก็บอกให้ไปคบ ไม่ต้องเป็นห่วง หรือสงสารเขา เขายินดีให้เราไปเสมอ เขาก็พูดเหมือนที่คุณแนะนำ ว่าเรายังเด็ก มีโอกาสเจอคนอีกมากมาย มีสิทธิ์เลือกคบ
การที่จะคบใครหรือเจอใครผ่านช่องทางไหนมันไม่สำคัญหรอก
แต่อยู่ที่เราต่างหาก ควรจะใช้สมองมากกว่าหัวใจ
อย่าให้ความรักมาบังตาจนมองไม่เห็นอะไร โลกในจิตนาการกับโลกความเป็นจริงมันต่างกัน
เคยถามมันนะว่า คบแล้วได้อะไร ไม่เบื่อเหรอที่มีแต่ปัญหา เราก็ยังสาว มันก็พูดเหมือนน้องนี่แระ สงสาร
ความสงสารกับชีวิตเราทั้งชีวิต เลือกเอาแล้วกัน
ใช้เงินเยอะ ก็ต้องทำงานให้เยอะค่ะ
นั่งรอวาสนา รอโชค เห็นมาเยอะแล้ว ..
มันไม่ได้มองโลกในแง่ดีนะคะ แบบนี้ เหมือนนั่งรอโชคชะตาโดยที่ไม่ได้ทำอะไรเลย
ผู้ชายคนนี้นอกจากจะดูเหมือนอนาคตมืดมนแล้ว ยังสร้างความฝันเพ้อเจ้อให้ตัวเอง
แต่นี่เค้าเห็นแก่ตัว ขี้ขลาด ไม่รับผิดชอบ หากคบไปคุณจะเหนื่อยหนักเปล่าๆ
การใช้ชีวิตแบบพอเพียง ไม่ใช่การไปทำนาทำสวนนะคะ
แต่การใช้ชีวิตแบบพอเพียง คือ การรุ้กิน รุ้ใช้ รุ้เก็บ
กินใช้เท่าที่มี เท่าที่รายได้เรามี เก็บเงิน ออมไว้ยามจำเป็น
พอใจในสิ่งที่ตัวเองมีอยู่ ไม่ได้โลภอยากได้ของฟุ่มเฟือย
แบบนี้ก็เรียก อยู่แบบพอเพียงแล้วนะคะ
เข้าใจค่ะว่าความผูกพันมีมากมายเหลือเกิน
แต่...สิ่งที่เขาทำทุกอย่างให้คุณสัมผัสได้นั้น
มีแต่ตัวอักษรเท่านั่น การกระทำอื่น ๆ ไม่มีเลย
คนที่รักเราจริง อย่างน้อยที่สุดเขาต้องรู้จักหน้าที่
ตนเองค่ะ ว่าควรคิดหรือทำอะไร ไม่ใช่มาหวัง
ลม ๆ แล้ง ๆ เรื่องโชคลาภ หรือ วาสนา
เขาต้องรักชีวืตตนเองให้เป็นก่อนค่ะ ถึงจะรักคนอื่นได้ดี
แทนที่จะทำงานเก็บเงิน
กลับฝากความหวังไว้กับดวง
มีปัญหา ทางด้านความคิด หรือ ความซึมเศร้า
ผู้ชายร้อยเล่ห์มารยาแบบนั้น ไม่เอาถ่านเลยจริง ๆ จะเก็บไว้ทำไมคะ
อายุยังน้อย อนาคตดีๆ รออยู่ข้างหน้าค่ะ จะทำอะไรคิดหน้าคิดหลังให้รอบด้าน อย่าเอาอารมณ์เป็นใหญ่
ถ้ามีอะไรพลาดพลั้งไปแล้ว จะเรียกกลับมาไม่ได้นะคะ
เขาบอกว่าถ้าเจอผู้ชายดี มั่นคงกว่าเขา เขาก็บอกให้ไปคบ ไม่ต้องเป็นห่วง หรือสงสารเขา เขายินดีให้เราไปเสมอ เขาก็พูดเหมือนที่คุณแนะนำ ว่าเรายังเด็ก มีโอกาสเจอคนอีกมากมาย มีสิทธิ์เลือกคบ
การที่จะคบใครหรือเจอใครผ่านช่องทางไหนมันไม่สำคัญหรอก
แต่อยู่ที่เราต่างหาก ควรจะใช้สมองมากกว่าหัวใจ
อย่าให้ความรักมาบังตาจนมองไม่เห็นอะไร โลกในจิตนาการกับโลกความเป็นจริงมันต่างกัน
เคยถามมันนะว่า คบแล้วได้อะไร ไม่เบื่อเหรอที่มีแต่ปัญหา เราก็ยังสาว มันก็พูดเหมือนน้องนี่แระ สงสาร
ความสงสารกับชีวิตเราทั้งชีวิต เลือกเอาแล้วกัน
ต้นไม้ตายอยู่หน้าบ้านหรือด้านใดด้านหนึ่งของบ้าน เป็นสิ่งที่ไม่ดี ควรที่จะตัดทิ้งเสีย เพราะจะทำให้บ้านมีความอับเฉาเหี่ยวแห้งมีผลกระทบต่อคนแก่เฒ่า พร้อมทั้งการเงินและการงานไม่เจริญรุ่งเรือง
สิ่งชั่วร้ายเกิดมาจากพวกเราเหมือนกัน แต่แรกเริ่มมันไม่มีสิ่งชั่วร้าย มันเพียงแค่ว่าเมื่อเราคิดบางอย่างไม่ดีหรือคิดสิ่งที่เป็นลบ สิ่งไม่ดีต่าง ๆ เหล่านั้นจะกระทบต่อเราและกระทบต่อคนอื่นที่อยู่รอบ ๆ
ทุกสิ่งที่เรากระทำ ความคิดหรือพูดที่ไม่ดีก็จะมีผลกระทบที่ไม่ดี
สิ่งชั่วร้ายเกิดมาจากพวกเราเหมือนกัน แต่แรกเริ่มมันไม่มีสิ่งชั่วร้าย มันเพียงแค่ว่าเมื่อเราคิดบางอย่างไม่ดีหรือคิดสิ่งที่เป็นลบ สิ่งไม่ดีต่าง ๆ เหล่านั้นจะกระทบต่อเราและกระทบต่อคนอื่นที่อยู่รอบ ๆ
ทุกสิ่งที่เรากระทำ ความคิดหรือพูดที่ไม่ดีก็จะมีผลกระทบที่ไม่ดี
- ABOUT
ブログ2
- カテゴリー
- ブログ内検索